อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานพิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ “ศุลกากร 523” มูลค่า 94 ล้าน ก่อนส่งไปประจำการ หน่วยสืบสวนปราบปราม “สตูล-ปากบารา” ปฏิบัติภารกิจ ป้องกันการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมาย

วันที่ 5 เมษายน 2566 เวลา 14.30 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานใน พิธีปล่อยเรือตรวจการณ์ “ศุลกากร 523” ลงน้ำ พร้อมด้วย นายพงศ์เทพ บัวทรัพย์ รองอธิบดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร นายถวัลย์ รอดจิตต์ ผู้อำนวยการกองสืบสวนและปราบปราม นายวิศณุ วัชราวนิช เลขานุการกรม คณะผู้บริหารกรมศุลกากร และนายทวีผล เหมังกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเครสท์ มารีน จำกัด นายธนภัทร เหมังกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเครสท์ มารีน จำกัด และ คณะผู้บริหารจากบริษัท ซี เครสท์ มารีน จำกัด โดยมีนางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ รองอธิบดีกรมศุลกากร เป็นสุภาพสตรีผู้ประกอบพิธีปล่อยเรือลงน้ำตามประเพณีโบราณ ณ อู่ต่อเรือบริษัท ซี เครสท์ มารีน จำกัด ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรมีภารกิจหลักในการอำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ของประเทศ พร้อมทั้งส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยมาตรการทางศุลกากร และข้อมูลการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการปกป้องสังคมให้ปลอดภัยจากการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาและออกไปนอกราชอาณาจักร ทั้ง ทางบก ทางอากาศ รวมถึงทางทะเล เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติในภาพรวมของประเทศ กรมศุลกากรจึงดำเนินการต่อเรือตรวจการณ์ “ศุลกากร 523”

ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง เพื่อทดแทนเรือที่ปลดประจำการ ขนาดความยาวไม่น้อยกว่า 50 ฟุต ความเร็วไม่น้อยกว่า 35 น็อต ระยะทำการไม่ต่ำกว่า 300 ไมล์ทะเล ออกแบบและต่อสร้างโดยบริษัท ซี เครสท์ มารีน จำกัด ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบและต่อสร้างขั้นสูง ตัวเรือทำจากวัสดุอลูมิเนียมอัลลอย ซึ่งทนทานและมีน้ำหนักเบา ได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2564 เป็นจำนวนเงิน 94,400,000.00 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสี่แสนบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางกระดูกงูเรือ เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2565 และได้ดำเนินการต่อสร้างเรือเรื่อยมาเป็นลำดับจนกระทั่งเสร็จสิ้นสมบูรณ์

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวย้ำว่า เรือตรวจการณ์ “ศุลกากร 523” ลำนี้ นับเป็นเรือที่มีประสิทธิภาพสูงลำหนึ่งในกองเรือศุลกากร และจะนำไปประจำการที่หน่วยสืบสวนปราบปราม “สตูล – ปากบารา” เพื่อทำภารกิจในด้านป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายทางทะเล การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ตลอดจนสนับสนุนภารกิจด้านการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ อีกทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งในภารกิจด้านปกป้องชายแดนให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น.