เอสซีจี เซรามิกส์ ปรับแผนการผลิตสู้ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
เอสซีจี เซรามิกส์ ปรับแผนรับมือต้นทุนราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตและเร่งโครงการ Energy Saving พร้อมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ คาดความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกปี 2566 ขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) คาดว่าความต้องการใช้สินค้ากระเบื้องเซรามิกโดยรวมในปี 2566 มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ตามเศรษฐกิจโดยรวมที่น่าจะขยายตัวและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นโดยมีแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามในด้านต้นทุนการผลิตยังมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง โดยเฉพาะราคาพลังงาน รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
และในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ด้วยการลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งโครงการ Energy Saving ให้เกิดผลเร็วขึ้น ในส่วนของการสร้างรายได้และกำไร คาดการณ์ว่าจะได้ส่วนเพิ่มจากสินค้าและบริการใหม่ ๆ ทั้ง LT by COTTO, Pool & Decorative Tiles, C’Tis บริการติดตั้งวัสดุกรุผิวครบวงจร, ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซมพื้นผิว, SUSUNN Smart Solution ธุรกิจด้านการจัดการพลังงานและด้านวิศวกรรม
ด้านการแข่งขันในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นกว่าปีก่อน ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมกับรักษาส่วนแบ่งการตลาดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ บริษัท ฯ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้านการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายเพื่อยกระดับความพึงพอใจของลูกค้าและคู่ค้า โดยการร่วมกับร้านค้าโมเดิร์นเทรด ผู้แทนจำหน่าย รวมถึงช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายและทั่วถึง บริหารพอร์ตสินค้า โดยจะเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูง
ตลอดจนปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ควบคู่ไปกับการยกระดับมาตรฐาน ทั้งในด้านดีไซน์ ความสวยงาม คุณภาพสินค้า และการบริการที่เหนือกว่า เมื่อเทียบกับสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่มุ่งแข่งขันเรื่องราคาเป็นหลัก และมุ่งที่จะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเป็นกำลังซื้อที่สำคัญ
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นที่จะสื่อสารกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Generation) โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของบ้าน สถาปนิก และดีไซน์เนอร์ ให้มากขึ้น เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่กำลังจะก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะกลายเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากขึ้นในอนาคต จึงได้พัฒนาสินค้าให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่อายุน้อยลง และมีความหลากหลายมากขึ้น