สงครามวาทกรรมการเมือง!!??

(คนไทยรู้เท่าทัน “วาทกรรมการเมือง” ที่หวังทำลายการเมืองฝั่งตรงข้าม! แต่เป็นอันตรายต่อระบบรัฐสภาไทย)

การเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 2569 ไม่ได้แข่งกันแค่นโยบาย แต่แข่งกันด้วย “วาทกรรม” ที่บั่นทอนความเชื่อถือทางการเมืองอย่างเงียบงัน ท่ามกลางกระแสข่าวล้นจอ คำพูดบางคำอาจเปลี่ยนการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 53–54 ล้านคน โดยไม่รู้ตัว! บทความนี้ชวนถอดรหัสวาทกรรมการเมือง ว่า…อะไรคือการตั้งคำถามเชิงเหตุผล? และอะไรคือกับดักที่สังคมไทยต้องเท่าทัน?

สนามเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมจัดควบคู่กับ การลงประชามติรัฐธรรมนูญ ในคราวเดียวกัน

สิ่งนี้..กำลังกลายเป็น “จุดตัด” ที่สำคัญ! ของการเมืองไทย!!!

ไม่ใช่แค่เพียง…แง่ “ผลแพ้–ชนะ” ของพรรคการเมือง แต่ในเชิงลึกกว่านั้น เพราะมันอาจตามมาด้วย…“สงครามวาทกรรม” ที่ทำงานคู่ขนานกับการหาเสียงอย่างเป็นทางการในรอบนี้

วาทกรรมเหล่านี้ ไม่ได้ปรากฏในรูป…นโยบายหรือกฎหมาย หากแต่แทรกซึมอยู่ใน…พาดหัวข่าว, คอมเมนต์ทางการเมือง, คลิปสั้น และถ้อยคำที่ถูกพูดซ้ำ!

จนกลายเป็น “ความจริงทางความรู้สึก” ของสังคมไทย

สิ่งที่น่ากังวล ก็คือ วาทกรรมจำนวนไม่น้อย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่ออธิบายความจริง! หรือเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของประชาชน แต่ถูก “ออกแบบ” มาเพื่อ..บั่นทอน “ความเชื่อถือ” ของฝ่ายตรงข้ามในระยะยาว!!??

เมื่อความเชื่อถือพัง! การอธิบายเชิงเหตุผล…ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

นี่คือเหตุผลที่ ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง กว่า 53–54 ล้านคน รวมถึง หน่วยงานกำกับกระบวนการเลือกตั้ง อย่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำเป็นจะต้อง “เท่าทัน” เกมวาทกรรมในทางการเมือง…มากกว่าที่เคยเป็นมา

วาทกรรมกลุ่มแรก…ที่มักถูกใช้เป็นอาวุธคือกลุ่มที่โจมตี “ความซื่อสัตย์และอุดมการณ์” เช่น คำว่า… “ตระบัดสัตย์” หรือ “พรรคเพื่อใคร” ซึ่งไม่ได้ตั้งคำถามเชิงนโยบาย แต่ตั้งคำถามต่อ “แก่น” ตัวตนของพรรคการเมืองโดยตรง!

คำเหล่านี้ ทำงานบนสมมติฐาน ที่ว่า…การเมือง คือ เรื่องของคำสัญญา และใครก็ตามที่ถูกตราหน้าว่า “ผิดคำพูด!” ย่อมไม่สมควรได้รับความไว้วางใจอีกต่อไป

แม้ในความเป็นจริง การเมืองเชิงระบบ…มักเต็มไปด้วยเงื่อนไขและการต่อรอง ดังนั้น วาทกรรมประเภทนี้ จึงทรงพลัง! เพราะสามารถจะ “ลด” ความซับซ้อนของการเมือง ให้เหลือเพียงภาพ “คนพูดไม่จริง” ซึ่งเข้าใจง่ายและจำได้เร็วยิ่งกว่า…

ในทำนองเดียวกัน คำว่า “ฝ่ายค้านเทียม” หรือ “พรรคค้ำรัฐบาล” ก็เป็นอีกวาทกรรม ที่สามารถจะ “ทำลาย” บทบาทการตรวจสอบ โดยไม่ต้องพิสูจน์ผลงานจริง!

เพียงแค่ตั้งข้อสงสัยว่า…การตรวจสอบนั้น “ไม่จริงใจ” ก็เพียงพอจะทำให้คนไทยบางส่วนตัดสินไปแล้ว ว่า…

ฝ่ายค้านกลุ่มนั้นไม่มีคุณค่าเพียงพอ!!??

วาทกรรมลักษณะนี้ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง! ต่อระบบรัฐสภาไทยในระยะยาว เพราะทำให้การเมือง ถูก “วัด” ด้วยภาพลักษณ์ มากกว่า…กระบวนการ!!??

อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกใช้บ่อยในห้วงเวลาที่ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มสูง! นั่นคือ…วาทกรรมด้านความมั่นคงและต่างประเทศ เช่น “พรรคชังชาติ” “พรรคนอมินี” หรือ “พรรคขายดินแดน” ฯลฯ

วาทกรรมเหล่านี้ มี “จุดร่วม” คือ…การเชื่อมโยงฝ่ายตรงข้ามเข้ากับภัยคุกคามต่อชาติ! แม้จะยังไม่มีข้อสรุปเชิงข้อเท็จจริงก็ตาม

“จุดอ่อน” ของวาทกรรมกลุ่มนี้ คือ…ความคลุมเครือ เพราะคำว่า “ชาติ” และ “ผลประโยชน์ชาติ” มันช่าง “เปิดกว้าง” ต่อการตีความ ทว่า “จุดแข็ง” ของมัน…กลายเป็นการ “กระตุ้น” อารมณ์ความกลัวและความโกรธ ซึ่งมักทำงานได้ดีในช่วงวิกฤต

อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ทางการเมืองของไทย ได้ชี้ให้เห็นว่า…หากใครก็ตาม ใช้วาทกรรมลักษณะนี้ เกินขอบเขตหรือขาดหลักฐานรองรับ

ก็มักจะ “ย้อนศร!” กลับมาทำลายความน่าเชื่อถือของผู้ใช้เอง!!??

สิ่งที่น่าสนใจกว่า ก็คือ…การตั้งคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่ “ไม่ผูก” กับการกล่าวหาตรงตัว เช่น การพูดถึง “เอกราชทางนโยบาย” หรือ “ระดับความสามารถในการต้านแรงกดดันจากต่างประเทศ” ซึ่ง “เปิดพื้นที่” ให้สังคมได้ ได้ถกเถียงเชิงเหตุผล โดยไม่ต้อง “ผูกโยง” ไปสู่การเหยียด หรือการตัดสินเจตนา

วาทกรรมด้านจริยธรรมและคอร์รัปชัน ถือเป็น…กลุ่มที่รุนแรงที่สุด! ไม่ว่าจะเป็นคำว่า…

“พรรคโกงกิน” “พรรคทุนเทา” หรือ “พรรคอุปถัมภ์” เพราะเป็นวลีการเมืองที่ผูกติดอยู่กับความมีหรือไม่มี “ศีลธรรมพื้นฐาน” ของสังคมไทย

เมื่อใดก็ตาม ที่พรรคการเมือง…ถูกเชื่อมโยงกับ “การทุจริต” หรือมี “พฤติกรรมไม่เหมาะสม” แม้จะเป็นเพียง…กรณีเฉพาะบุคคล แต่ภาพลักษณ์ของทั้งองค์กร…ก็มักถูกกระทบไปพร้อมกัน!

นี่คือ “วาทกรรม” ที่ต้องอาศัยความระมัดระวังสูงที่สุด!!!

นั่นเพราะ “เส้นแบ่ง!” ระหว่าง…การตรวจสอบ กับการใส่ร้าย มันบางมากและมากสุดๆ

หากสังคม “ขาดทักษะ” ในการแยกแยะแล้วล่ะก็… ข้อกล่าวหาที่ไม่มีข้อยุติข้างต้น อาจกลายเป็น “ตราบาปทางการเมือง” ให้กับบางพรรคการเมื้อง โดยไม่จำเป็นจะต้อง “ผ่าน” กระบวนการยุติธรรมใดๆ กันเลย

ในอีกด้านหนึ่ง วาทกรรมที่ดูเบากว่า แต่ก็ “กัดกร่อน” ในระยะยาว นั่นคือ…วาทกรรมด้านความสามารถในการบริหาร เช่น “พรรคนิทานหลอกเด็ก” “ดีแต่พูด” หรือ “พรรคตกยุค” ฯลฯ

คำเหล่านี้…ลดทอนความชอบธรรมของนโยบาย! โดยไม่จำเป็นต้อง “วิเคราะห์” ความเป็นไปได้จริง!

ผลลัพธ์ ก็คือ…การเมืองถูกแปรสภาพเป็นการแข่งขันด้านวาทศิลป์และการสร้างภาพ มากกว่า…การถกเถียงเชิงนโยบายอย่างมีข้อมูล

การเมืองยุคดิจิทัล…ยังเพิ่ม “มิติใหม่” ของวาทกรรม ไม่ว่าจะเป็นคำว่า…“พรรค IO” “พรรคปั่นกระแส” หรือ “พรรคใช้เทคโนโลยีหลอกประชาชน” ซึ่งสะท้อนความไม่ไว้วางใจต่อ…ข้อมูล ข่าวสาร และเทคโนโลยีสมัยใหม่

วาทกรรมเหล่านี้ ไม่ได้ “ปฏิเสธ” นโยบายโดยตรง แต่ “บ่อนทำลาย” ความเชื่อถือในกระบวนการสื่อสารทั้งหมด ทำให้ประชาชนไม่แน่ใจว่าอะไรคือข้อมูลจริง? อะไรคือการจัดฉาก?

บทเรียนสำคัญจาก “คลังวาทกรรม” เหล่านี้ คือ ไม่ใช่ทุกคำแรง! จะเป็นคำที่มีคุณค่าเชิงประชาธิปไตย!!??

วาทกรรมบางคำ? อาจเร้าอารมณ์ได้ดี แต่ “ทำลาย” คุณภาพการตัดสินใจของสังคมในระยะยาว!

การตั้งคำถามเชิงยุทธศาสตร์ที่ดี…ควรมุ่งไปที่ พฤติกรรม นโยบาย และผลลัพธ์ มากกว่าการติดป้ายหรือสรุปเจตนา

สำหรับ “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” 53-54 ล้านคน แล้ว การ “รู้เท่าทัน!” วาทกรรม หมายถึง…การตั้งคำถามกลับทุกครั้ง! ที่ได้ยินคำกล่าวหาที่ฟังดูง่ายเกินไป ว่า…

คนพูดมีหลักฐานใดรองรับ?

มีทางเลือกในการอธิบายอื่นหรือไม่?

และ ใครได้ประโยชน์จากการใช้คำพูดนั้น?

ขณะที่ หน่วยงานกำกับ อย่าง กกต. แล้ว ความท้าทายไม่ใช่เพียงการจัดการการเลือกตั้งให้สุจริตเที่ยงธรรม!  เพียงอย่างเดียว แต่มันยังรวมถึง…การเฝ้าระวังบรรยากาศการสื่อสารทางการเมืองไม่ให้ถลำไปสู่ความเกลียดชัง, การบิดเบือน หรือการทำลายความเชื่อถือของระบบโดยรวม

ถึงบรรทัดสุดท้ายนี้การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจไม่ถูก “ตัดสิน” ด้วยนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมาด้วย…ความสามารถของสังคมไทย ในการแยกแยะว่า…

อะไรคือการวิพากษ์เชิงเหตุผล?

และ อะไรคือวาทกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายความเชื่อถือ?

เมื่อประชาชนอ่านเกมออก วาทกรรมที่เคยทรงพลัง…ก็อาจกลายเป็นเพียง “เสียงรบกวน!” และการเมืองไทย ก็อาจจะกลับมาแข่งขันกันที่ “สาระ” ได้อีกครั้ง!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password