Financial Hub : ทุนเทา!!!

วิวาทะ “ทุนเทา – Financial Hub” ระหว่าง…พรรคประชาชนและเพื่อไทย ได้สะท้อนการเมืองเชิงโครงสร้างมากกว่าจะเป็นความขัดแย้งรายประเด็น ฝ่ายหนึ่ง…ยังคงเชื่อมั่นในกลไกกฎหมายของรัฐ แต่อีกฝ่าย กับตั้งคำถามที่ว่า…“รัฐไทย” พร้อมแค่ไหน? หากต้องแบกรับความเสี่ยงของ “โลกการเงินสีเทา” ที่สุดแสนจะซับซ้อนเกินคำบรรยาย

ในห้วง สงครามการเมือง…โหมดเลือกตั้ง! สิ่งที่คนติดตามสถานการณ์ข่าวสารบ้านเมือง มักจะได้เห็นกันอยู่เสมอ? คงไม่พ้น…กลยุทธ์การเมืองขั้นพื้นฐาน!

ทำเรื่องเล็ก…ให้เป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องใหญ่…ก็มักถูกปรับลด ให้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ!!!

ล่าสุด! กับ วิวาทะการเมือง…เรื่อง พ.ร.บ. Financial Hub ระหว่าง 2 พรรคการเมืองเก่า – ใหม่ ที่เคยถูกคาดหวังและวาดฝันจาก คนในฝั่งประชาธิปไตย อยากเห็น…พรรคเพื่อไทย และ พรรคประชาชน (นับแต่ยังใช้ชื่อพรรค…อนาคตใหม่ และก้าวไกล) จับมือกันเป็น “รัฐบาลประชาธิปไตย…ก้าวหน้า”

แต่กับสถานการณ์ปัจจุบัน คนกลุ่มนั้น อาจต้อง…ฝันค้างกลางลมหนาว ที่ไม่หนาวสักเท่าใด? ไปก่อนแล้วกัน…

การโต้กันระหว่าง…อดีตรัฐบาล เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้านี้ อย่าง…พรรคเพื่อไทย กับ “ฝ่ายค้าน…มั่นคง” ในสภาผู้แทนราษฎร เช่น พรรคประชาชน โดยเฉพาะกับ ประเด็น พ.ร.บ. Financial Hub ที่ไม่ได้เป็นเพียงการ “แลกหมัด” ทางวิวาทะทางการเมือง

หากแต่มันได้สะท้อนการเผชิญหน้าของ 2 มุมมอง! ต่อ “ความเสี่ยงเชิงระบบ” อย่างชัดเจน!!!

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน เลือกหยิบประเด็น… “ทุนสีเทา, ขบวนการสแกมเมอร์ และโครงสร้างการฟอกเงินข้ามชาติ” ขึ้นมาตั้งคำถาม ต่อทิศทางนโยบายการเงินของประเทศ ในจังหวะที่ พรรคเพื่อไทย สมัยยังรัฐบาล พยายามจะ “เร่งเครื่อง” เปิดพื้นที่ทางการเงินรูปแบบใหม่

นายณัฐพงษ์ สะท้อนซ้ำหลายๆ ครั้งว่า…ปัญหาทุนเทา! ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรมปลายแถว แต่เป็น “เครือข่าย” ที่เชื่อมโยงธุรกรรม, การเมือง และ “อำนาจรัฐ” ในหลายระดับ

หัวหน้าพรรคประชาชน มองว่า…ประเทศไทยไม่ใช่ “เหยื่อ” ของเงินผิดกฎหมาย เพราะเป็นรัฐเอง ที่สร้างและเปิด “ช่องโหว่” เชิงโครงสร้างทางการเงิน กระทั่ง ทำให้เงินสกปรกเหล่านี้ สามารถเข้ามาหมุนเวียนและฟอกตัวเองอยู่ในระดับเศรษฐกิจไทย…ได้ง่ายๆ

การตั้งคำถามต่อ Financial Hub จึงไม่ใช่การคัดค้านนโยบายโดยตรง แต่คือการเตือนว่า…เมื่อรัฐ “เร่ง” เปิดประตูทางการเงิน ความเสี่ยงที่จะมีตามมา อาจขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นตามความซับซ้อนของโลกการเงินดิจิทัล

ในมุมมองของ นายณัฐพงษ์ เห็นว่า…กฎหมายที่ออกแบบมาอย่างดี อาจยังดีไม่พอ หากการ “บังคับใช้” ไม่สามารถไล่ทันเครือข่ายทุนสีเทา ที่ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า???

และนี่คือเหตุผลที่เขาเน้นย้ำว่า…รัฐต้อง “ยกระดับ” กลไกตรวจสอบ, การเชื่อมโยงข้อมูล และความโปร่งใสให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ก่อนจะ “เดินหน้า” โครงการขนาดใหญ่ อย่าง…พ.ร.บ. Financial Hub ที่ อดีตรัฐบาลเพื่อไทย เคยทำเอาไว้

เพราะสิ่งนี้…มันอาจไปเพิ่ม “แรงดึงดูด” ให้…เงินสีเทา ไหลเข้ามาฟ้องตัวในประเทศไทย โดยที่รัฐ มิอาจจะควบคุมได้ทัน!

อย่างไรก็ตาม ความกังวลดังกล่าว ได้ถูก “ตอบกลับ” ด้วยท่าทีหนักแน่น! จาก นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล อดีต รมช.คลัง ซึ่งดูแลเรื่องนี้มาก่อน โดยปัจจุบัน มีดีกรีเป็นถึง “รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย” และยังเป็น “ตัวจักร” สำคัญของทีมเศรษฐกิจพรรคฯ ซึ่งได้เลือกวางกรอบการถกเถียง ไว้บนข้อเท็จจริงของตัวบทกฎหมาย..

นายเผ่าภูมิ ย้ำชัดว่า…พ.ร.บ. Financial Hub ไม่ได้ให้ข้อยกเว้นใดๆ ต่อการกำกับดูแลด้านการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย

พร้อมระบุว่า…ธุรกิจทั้งหมดที่อยู่ภายใต้ Financial Hub จะถูกจัดให้อยู่ในนิยามของสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน AML/CFT (มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย) ของ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างเคร่งครัด!!??

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยังขยายความอีกว่า…กลไกการกำกับดูแลไม่ได้ “เริ่มต้นใหม่” จาก “ศูนย์” แต่จะเชื่อมโยงกับ…หน่วยงานกำกับหลักที่มีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น…ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)

ซึ่งหมายความว่าFinancial Hub ไม่ใช่ “พื้นที่พิเศษ” ที่หลุดจากระบบควบคุม หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบการเงินที่ถูกตรวจสอบในระดับเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ๆ

ดังนั้น นายเผ่าภูมิ จึงเตือนว่า…การวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายโดยตั้งอยู่บนความกังวลเชิงจินตนาการ อาจสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนและกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศในสายตานักลงทุนและเวทีสากล

ก่อนวิพากษ์วิจารณ์ อ่านกฎหมายให้ชัด การตั้งคำถามจากจินตนาการแง่ลบ ไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศครับคำทิ้งท้ายจาก รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

จากมุมมองที่แตกต่าง…นำสู่วิวาทะทางการเมือง? กระนั้น หากมองให้ลึกขึ้น! การโต้กันครั้งนี้…ไม่ใช่การถกเถียงกันว่า “กฎหมายมีหรือไม่มี?” แต่มันคือการถกเถียงว่า “กฎหมายเพียงพอหรือเปล่า?”

ฝ่ายหนึ่ง มองเห็น “ความเสี่ยง” จากประสบการณ์จริง! ของระบบที่มี “เครือข่ายสีเทา” ฝังตัวอยู่…

ขณะที่ อีกฝ่าย เชื่อมั่นว่า…หากออกแบบกฎหมายให้รัดกุมและบังคับใช้อย่างจริงจัง ความเสี่ยงเหล่านั้น สามารถถูกควบคุมได้

สำหรับ Financial Hub ในสายตาฝั่งพรรคเพื่อไทย มันคือ…โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ประเทศจำเป็นต้องมี เพื่อการแข่งขันบนเวทีโลก

แต่ในสายตาของ ฝ่ายตรวจสอบ เช่น พรรคประชาชน นี่คือ…บททดสอบสำคัญ ที่ว่า “รัฐไทย” สามารถทำให้คำว่า “ไม่มีข้อยกเว้น” เป็นจริง! ได้มากน้อยเพียงใดในทางปฏิบัติ

ไม่ใช่เพียงคำพูดสวยหรูอยู่บนเอกสารกระดาษ

ท้ายที่สุด! ศึกวิวาทะ ระหว่าง…นายณัฐพงษ์ และ นายเผ่าภูมิ จึงไม่ได้ “ชี้ผล…แพ้-ชนะ” กันที่ประโยคใดประโยคหนึ่ง

หากแต่มันได้ สะท้อน “ภาพการเมืองไทย” ที่กำลังขยับ…จากการ “ถกเถียง” ในเชิงนโยบายปลายทาง ไปสู่การ “ถกเถียง” ในเชิงโครงสร้างแบบลงลึกของรัฐ!!??

คำถามสำคัญ…อาจไม่ใช่ว่า “ใครอ่านกฎหมายถูกกว่า?” แต่คือ…การที่ “รัฐไทย” มีความพร้อมระดับใด? ที่จะหยุดยั้ง “ความเร็วของเงิน” ที่จำเป็นจะต้องเดินหน้าไปพร้อมกับ “ความเร็วของการกำกับ” อย่างแท้จริง!!!

ช้านิด…ผิดพลาดหน่อย! ก็อาจนำมาซึ่งความสูญเสีย? ทั้งในเชิงระบบเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึง…เครดิตภาพลักษณ์ของประเทศไทย ได้!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password