‘DIP’ เปิด GI Pavilion รวมสุดยอดข้าว–กาแฟ GI ไทย บุกงานใหญ่ส่งท้ายปี การันตีคุณภาพระดับโลก

กรมทรัพย์สินทางปัญญาจับมือ The Cloud เปิดอาณาจักร GI Pavilion ยกทัพข้าวและกาแฟ GI ไทยกว่า 12 รายการ บุกงาน THAILAND RICE FEST 2025 และ THAILAND COFFEE FEST YEAR END 2025 สุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ชวนสัมผัสรสชาติความพรีเมียม การันตีคุณภาพด้วยตรา GI ที่ทั่วโลกยอมรับ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา(DIP) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หรือ GI เป็นหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ด้วยคุณภาพ เอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ตลอดจนภูมิปัญญา จากรุ่นสู่รุ่น ทำให้สินค้า GI ช่วยสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ดีขึ้น ปัจจุบันสินค้า GI ไทย 244 รายการ สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่า 114,000 ล้านบาท โดยมีสินค้าในกลุ่ม ข้าว 24 รายการ และกาแฟ 11 รายการ คิดเป็นสัดส่วน 14% ของสินค้า GI ไทยทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียง ทำรายได้เข้าสู่ประเทศเป็นจำนวนมาก และมีหลายรายการที่ได้รับการรับรอง GI ในต่างประเทศ อาทิ สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) รับจด GI ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง กาแฟดอยตุง และกาแฟดอยช้าง อินโดนีเซีย รับจด GI ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ และข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ญี่ปุ่น รับจด GI กาแฟดอยตุง และกาแฟดอยช้าง และกัมพูชา รับจด GI กาแฟดอยตุง

นางอรมน กล่าวว่า เพื่อเป็นการดำเนินการตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางศุภจี สุธรรมพันธุ์) ในการเสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs ไทย และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าชุมชน กรมทรัพย์สินทางปัญญาจึงได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มและขยายโอกาสทางการค้าให้กับสินค้า GI ไทย โดยในงาน THAILAND RICE FEST 2025 และ THAILAND COFFEE FEST YEAR END 2025 ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกรมและ The Cloud ที่ต้องการสร้างโอกาสทางการค้าและการเจรจาธุรกิจให้กับผู้ประกอบการข้าวและกาแฟ GI ไทย อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้า GI ไทยจากท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศได้ง่ายขึ้น

ภายใน GI Pavilion กรมได้นำสุดยอดข้าว GI 6 รายการ จาก 6 จังหวัด มาร่วมจัดจำหน่าย ได้แก่ (1) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จากแหล่งผลิตในจังหวัดศรีสะเกษ เป็นข้าวที่ปลูกโดยอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก ทําให้ปลูกได้เพียงปีละครั้ง และเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็นและปราศจากฝน ประกอบกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะระบายน้ำออกก่อนเก็บเกี่ยวข้าวประมาณ 10 วัน ทําให้ผลผลิตข้าวที่ได้มีคุณภาพดี ข้าวสารมีเมล็ดใสและแกร่ง ข้าวที่หุงสุกมีความหอมและนุ่ม (2) ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง จุดเด่นคือเมล็ดข้าวที่มีสีขาวปนแดงหรือสีชมพู เมล็ดเรียวเล็ก เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ มีคุณค่าทางโภชนาการ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเหน็บชา และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด (3) ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ มีเมล็ดข้าวเรียวยาวไม่ต่ำกว่า 7 มิลลิเมตร มีกลิ่นหอมตั้งแต่เริ่มปลูกเป็นต้นกล้า ข้าวที่หุงสุกจึงมีความหอมกรุ่นยาวนาน และมีลักษณะอ่อนนุ่ม ทานอร่อย

(4) ข้าวก่ำล้านนา จากจังหวัดพะเยา เป็นข้าวเหนียวดำมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปลูกตามภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวล้านนา โดยในนาข้าวจะปลูกข้าวเหนียวขาวเป็นอาหารหลัก และปลูกข้าวเหนียวดำบริเวณต้นทางที่จะปล่อยน้ำเข้านา เพื่อให้นำพาสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) จากข้าวเหนียวดำไหลเข้าสู่นาเพื่อไล่แมลงและป้องกันโรคต่างๆ ที่จะทำลายต้นข้าว (5) ข้าวไร่ลืมผัวเพชรบูรณ์ ข้าวเหนียวดำพันธุ์ลืมผัว ปลูกในพื้นที่ระดับความสูง 400 – 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล เมล็ดข้าวมีสีม่วงดำ เมื่อหุงสุกจะมีรสชาติอร่อย ขณะเคี้ยวจะรู้สึกหนุบๆ กรอบนอกนุ่มใน มีกลิ่นหอม และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และ (6) ข้าวเหนียวเขาวงกาฬสินธุ์ จากเทือกเขาภูพาน มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เมล็ดข้าวที่หุงสุกจะมีลักษณะเหนียวนุ่มเป็นพิเศษ แม้เก็บไว้ในภาชนะปิดหลายชั่วโมงก็ยังสามารถคงความอ่อนนุ่มไว้ได้ เหมาะสำหรับทำเมนูข้าวเหนียวมะม่วง และไอศกรีมเสิร์ฟพร้อมท็อปปิ้งข้าวเหนียว รสชาติอร่อย สดชื่น ถูกใจผู้บริโภคเป็นอย่างยิ่ง

รวมทั้งกาแฟ GI 5 รายการ จาก 5 จังหวัด ได้แก่ (1) กาแฟดอยตุง จากจังหวัดเชียงราย เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้าที่ปลูกบนเทือกเขานางนอนที่ระดับความสูง 800 – 1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม มีปริมาณคาเฟอีนร้อยละ 1.5 – 1.6 ของน้ำหนัก เป็นผลผลิตของป่าเศรษฐกิจในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงตั้งแต่ปี 2535 เพื่อสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในพื้นที่ได้มีรายได้เลี้ยงตนเอง โดยไม่ต้องตัดไม้ทำลายป่าทำไร่เลื่อนลอยหรือปลูกฝิ่นเหมือนแต่ก่อน (2) กาแฟดอยสวนยาหลวงน่าน กาแฟสายพันธุ์อาราบิกา มีกลิ่นหอมคล้ายช็อกโกแลต กลิ่นถั่ว และกลิ่นผลไม้ รสชาติเข้มกลมกล่อม มีความเป็นสมุนไพรรสเผ็ดซ่าเป็นเอกลักษณ์ สามารถวัดปริมาณคาเฟอีนได้ร้อยละ 1.1 – 1.7 ของน้ำหนัก (3) กาแฟเทพเสด็จ จากจังหวัดเชียงใหม่ กาแฟพันธุ์อาราบิก้าที่ปลูกตามธรรมชาติร่วมกับไม้ป่า เมล็ดมีลักษณะยาวกว่าเมล็ดกาแฟทั่วไป รสชาติกลมกล่อม มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า มีปริมาณคาเฟอีนร้อยละ 1 – 1.2 ของน้ำหนัก

(4) กาแฟวังน้ำเขียวจากจังหวัดนครราชสีมา เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้าและโรบัสต้า ปลูกที่ระดับความสูง 400 – 600 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล รสชาติไม่เข้มมาก กลมกล่อม มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว พันธุ์อาราบิก้ามีคาเฟอีนร้อยละ 1 – 1.2 ของน้ำหนัก พันธุ์โรบัสต้ามีคาเฟอีนร้อยละ 0.5 – 2.5 ของน้ำหนัก และ (5) กาแฟเมืองกระบี่ กาแฟโรบัสต้าสายพันธุ์พื้นเมือง ปลูกบนพื้นที่ราบหรือที่ราบเชิงเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีรสชาติขมเข้มข้นและกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ มีค่าคาเฟอีนร้อยละ 1.5 – 4 ของน้ำหนัก นอกจากนี้ ยังมีว่าที่กาแฟ GI ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการขึ้นทะเบียนอีก 1 รายการ ได้แก่ กาแฟมณีพฤกษ์ จากจังหวัดน่าน เป็นกาแฟอาราบิกาสายพันธุ์พิเศษที่มีชื่อเสียงระดับสากลมีความพิเศษของรสชาติที่ซับซ้อน มีกลิ่นดอกไม้และผลไม้ เป็นกาแฟที่ช่วยรักษาป่าต้นน้ำโดยใช้วิธีการปลูกแบบออร์แกนิก โดยสินค้า GI และว่าที่ GI ทั้ง 12 รายการ สร้างรายได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนปีละกว่า 1,243 ล้านบาท 

ทั้งนี้ การบริโภคข้าวและกาแฟถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยอยู่แล้ว เทศกาลดังกล่าว จึงช่วยให้ผู้บริโภคได้ทำความรู้จักกับสินค้าสายพันธุ์ใหม่ๆ ช่วยเพิ่มทางเลือกในการบริโภคข้าวและกาแฟในแต่ละวัน นอกจากนี้ กิจกรรมภายในงานยังสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของสินค้า GI ไทย ว่าเป็นผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นที่มีคุณภาพและความน่าสนใจไม่แพ้สินค้านำเข้าจากต่างประเทศ

ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถมาร่วมอุดหนุนและเป็นกำลังใจให้กับผู้ประกอบการ GI ได้ที่ GI Pavilion บูธ H1 ฮอลล์ 12 ณ อิมแพค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 4 – 7 ธันวาคม 2568 หรือติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook : GI Thailand นางอรมน กล่าวทิ้งท้าย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password