เงินเฟ้อไทย พ.ย. 68 ติดลบต่อเนื่อง เหลือ -0.49% พลังงานยังฉุด แต่ผัก–อาหารสดเริ่มขยับขึ้น

ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. 2568 อยู่ที่ 100.15 ลดลงจากปีก่อนหน้า 0.49% แม้ชะลอตัวจากเดือนก่อน แต่ยังเป็นภาวะเงินเฟ้อติดลบจากราคาพลังงานที่ลดลงตามตลาดโลกและมาตรการภาครัฐ ขณะที่อาหารสดและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์เริ่มปรับเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศและฤดูกาลเที่ยว คาดทั้งปีเงินเฟ้อติดลบเป็นปีที่ 4 ต่อเนื่อง และปี 2569 ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ 0.0–1.0%

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย เดือนพฤศจิกายน 2568 เท่ากับ 100.15 เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 ซึ่งเท่ากับ 100.64 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.49 (YoY) เป็นการลดลงในอัตราที่ชะลอตัว (เดือนตุลาคม 2568 ลดลงร้อยละ 0.76) โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงลดลงมาจากราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน และน้ำมันเชื้อเพลิง ปรับลดลงตามสถานการณ์พลังงานในตลาดโลก และมาตรการลดภาระค่าครองชีพของภาครัฐ ขณะที่สินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นหลังจากลดลงต่อเนื่องมา 3 เดือน จากการสูงขึ้นของราคาผักสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนตุลาคม 2568 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยลดลงร้อยละ 0.76 (YoY) โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 3 จาก 132 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บรูไน ติมอร์-เลสเต สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม สปป.ลาว)
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 0.49 (YoY) ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ดังนี้ หมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 1.13 (YoY) จากการลดลงของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มพลังงาน (ค่ากระแสไฟฟ้า แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ของใช้ส่วนบุคคล (น้ำยาระงับกลิ่นกาย สบู่ถูตัว ครีมนวดผม แชมพู ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว แป้งผัดหน้า) รถยนต์ ค่าโดยสารเครื่องบิน เสื้อผ้า (เสื้อยืดบุรุษ สตรี และเด็ก เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี กางเกงขายาวบุรุษ) และสิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดบางชนิด (ผลิตภัณฑ์ซักผ้า น้ำยารีดผ้า น้ำยาถูพื้น ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว/น้ำยาซักผ้าขาว) ขณะที่มีสินค้าสำคัญปรับราคาสูงขึ้น อาทิ ค่าเช่าบ้าน ค่าทัศนาจรต่างประเทศและในประเทศ ค่าบริการขนขยะ และค่าแต่งผมบุรุษและสตรี

ส่วนหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ 0.54 (YoY) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ อาหารสำเร็จรูป (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว) ผักสด (ผักชี ผักบุ้ง มะเขือ ผักคะน้า ผักกาดขาว พริกสด แตงกวา ถั่วฝักยาว) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป กาแฟ (ร้อน/เย็น) เครื่องดื่มรสช็อกโกแลต) ผลิตภัณฑ์น้ำตาล (ขนมหวาน ไอศกรีม) ปลาและสัตว์น้ำ (ปลาทู ปลาช่อน ปลาทูนึ่ง ปลาหมึกกล้วย) และเครื่องประกอบอาหาร (กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง น้ำมันพืช)

ทั้งนี้ มีสินค้าหลายรายการราคาลดลง อาทิ ผลไม้สด (มะม่วง องุ่น กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม ส้มเขียวหวาน) ไข่ไก่ ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร และกระเทียม โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้นร้อยละ 0.66 (YoY) เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนตุลาคม 2568 ที่สูงขึ้นร้อยละ 0.61 (YoY)
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2568 สูงขึ้นร้อยละ 0.15 (MoM) ตามการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ 0.28 (MoM) จากสินค้าสำคัญที่ราคาปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะผักสด (ผักชี พริกสด ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง มะเขือ ผักกาดขาว มะนาว แตงกวา) เนื่องจากยังมีฝนตกต่อเนื่อง ส่งผลให้การเพาะปลูกได้รับผลกระทบและมีปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง อาหารโทรสั่ง (Delivery) เนื่องจากสิ้นสุดช่วงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ และเนื้อสุกร เนื่องจากมีความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยวและได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ ขณะที่มีสินค้าราคาปรับลดลง อาทิ ผลไม้สด (ส้มเขียวหวาน มะละกอสุก องุ่น อะโวคาโด) ไข่ไก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว และน้ำดื่มบริสุทธิ์ และหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ 0.06 (MoM) จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ ค่าโดยสารเครื่องบิน เนื่องจากมีความต้องการเดินทางช่วงไฮซีซันเพิ่มขึ้น และของใช้ส่วนบุคคล (โฟมล้างหน้า น้ำยาระงับกลิ่นกาย ผ้าอนามัย ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว) เนื่องจากช่วงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการได้สิ้นสุดลง นอกจากนี้ รถปิคอัพ และค่าเช่าบ้าน ปรับราคาสูงขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มีสินค้าที่ราคาปรับลดลง อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน) อาหารสัตว์เลี้ยง สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด (น้ำยาถูพื้น ค่าบริการขนขยะ ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว/น้ำยาซักผ้าขาว) และเสื้อผ้า (เสื้อเชิ้ตสตรี กางเกงขาวยาวบุรุษและสตรี)

ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เฉลี่ย 11 เดือน (มกราคม – พฤศจิกายน) ของปี 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ลดลงร้อยละ 0.12 (AoA) และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ 0.15-0.2 เป็นการติดลบต่อเนื่องในรอบ 4 ปี โดยกระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2569 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 0.0 – 1.0 ซึ่งมาจากฐานการคำนวณมาจากจีดีพีปี 2569 เติบโต 1.1-2.2 % ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ที่ 60-70 เหรียญต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับสูงขึ้น ได้แก่ (1) ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายรักษาเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรที่สำคัญ ประกอบกับเกษตรกรมีแนวโน้มลดปริมาณการเพาะปลูกสินค้าที่ราคาต่ำในปีก่อนหน้า ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรบางประเภทจะเข้าสู่ตลาดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น และ (2) ภาคการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 34.9 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจาก 33.4 ล้านคน ในปี 2568) และมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมอยู่ที่ 2.79 ล้านล้านบาท ทำให้สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องอาจปรับราคาสูงขึ้น

ขณะที่ปัจจัยกดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลง ได้แก่ (1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2568 (2) ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่ากระแสไฟฟ้าครัวเรือน ค่าโดยสารสาธารณะ และการตรึงราคาก๊าซ LPG (3) เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียงร้อยละ 1.7 ในปี 2569 ต่ำกว่าปี 2568 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.0 และเป็นการขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 3.0 เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ และขาดแรงส่งไปยังเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ และ (4) มีแนวโน้มนำเข้าเงินเฟ้อต่ำจากต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศสำคัญขยายตัวในระดับต่ำ ส่งผลให้มีการผลิตและการส่งออกสินค้าที่ราคาลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้ไทยนำเข้าสินค้าราคาต่ำ โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังได้ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในช่วงปลายเดือนพ.ย.68 นอกจากกระทบต่อภาคครัวเรือนในหลายจังหวัดในภาคใต้แล้ว ซึ่งยังกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย เนื่องจากในเขตพื้นที่ภาคใต้มีโรงงานที่ถูกน้ำท่วมถึง 715 โรงงาน ผู้ส่งออกกว่า 442 ราย โดยเป็นโรงงานประเภทแปรรูปทั้งยางพารา อาหารกระเป๋า ผักผลไม้ อาหารทะเลกระป๋องและอื่นๆที่ได้รับผลกระทบคิดเป็นมูลค่าถึง 815.8 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะเหตุผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยโดยรวมในเดือนหน้า ขณะนี้ทุกภาคส่วนเร่งหามาตรการช่วยสนับสนุนผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในครั้งนี้แล้ว.






