น้ำท่วม10 จ.ใต้ กระทบการค้าชายแดนไทย–มาเลย์ จากวิกฤต ‘คอขวดหาดใหญ่’

สนค.เผย! สถานการณ์อุทกภัยรุนแรงภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลกระทบหนักต่อระบบโลจิสติกส์ไทย–มาเลเซีย แม้ด่านสะเดา–ปาดังเบซาร์ยังเปิดปกติ แต่เส้นทางขนส่งถูกตัดขาด การรถไฟงดวิ่งหลายเส้นทาง ทำให้สินค้าส่งออกกว่า 96% ที่พึ่งพาด่านหลักเสี่ยงชะงักงัน เตือนภาวะ Single Point of Failure จากการพึ่งหาดใหญ่เพียงจุดเดียว ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์–อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าเกษตรเน่าเสียง่ายได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์อุทกภัย ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้ 10 จังหวัด ประกอบด้วย สงขลา นครศรีธรรมราช ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง ตรัง สตูล สุราษฎร์ธานี และชุมพร ประสบภาวะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลาก สถานการณ์ครั้งนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายเพียงแค่ทรัพย์สินของประชาชนเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นบททดสอบสำคัญของระบบโลจิสติกส์การค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย วิกฤต “คอขวด” ที่หาดใหญ่

จุดวิกฤติที่รุนแรงที่สุดคืออำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์” สำคัญของภาคใต้ก่อนที่สินค้าจะเดินทางไปยังด่านชายแดนสะเดาและปาดังเบซาร์ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแอ่งกระทะทำให้น้ำระบายไม่ทัน การขนส่งทางถนนแทบหยุดชะงัก แม้รายงานสถานการณ์จะระบุว่าด่านศุลกากรหลักอย่าง “สะเดา” และ “ปาดังเบซาร์” ยังคงเปิดทำการตามปกติ แต่ในทางปฏิบัติ ภาคการส่งออกกำลังเผชิญภาวะชะงักงัน เส้นทางขนส่งทางถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ด่านถูกตัดขาดหรือสัญจรได้อย่างยากลำบาก แม้รถบรรทุกขนาดใหญ่จะพยายามใช้เส้นทางอ้อมที่มีจำกัด แต่ก็เป็นไปอย่างล่าช้าและมีความเสี่ยงสูงสถานการณ์แย่ลงเมื่อการรถไฟแห่งประเทศไทยประกาศระงับบริการทุกเส้นทางที่สถานีสุไหงโก-ลก จนถึงวันที่ 27 พฤศจิกายน ทำให้ทางเลือกในการขนส่งลดน้อยลงอย่างมาก และสภาพคล่องของการไหลเวียนสินค้าแทบจะเป็นศูนย์

ความเสี่ยงด้านการส่งออก

ความเปราะบางของโครงสร้างการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่พึ่งพาช่องทางหลักมากเกินไป สะท้อนให้เห็นจากสถิติ 10 เดือนแรกของปี 2568 ที่มูลค่าการค้ารวมกว่า 96% กระจุกตัวอยู่ที่ 2 ด่านหลัก:

1. ด่านศุลกากรสะเดา เป็นด่านที่มีมูลค่าการค้าชายแดนสูงที่สุด โดยมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 311.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 10,947 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 76.30% ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดกับมาเลเซีย

2. ด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นอันดับสองมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ย 90.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 3,162 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20.06%

หากสถานการณ์น้ำท่วมยืดเยื้อ ประเทศไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผ่านทั้งสองด่านรวมกันสูงถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 14,100 ล้านบาท

ห่วงโซ่อุปทานสะเทือน: จาก “น้ำยางข้น” สู่ “ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์”

สินค้าส่งออกผ่านด่านเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์, ส่วนประกอบรถยนต์, แผงวงจรไฟฟ้า และน้ำยางข้นการหยุดชะงักของการขนส่งครั้งนี้จึงส่งผลกระทบใน 2 มิติ:

1. กลุ่มอุตสาหกรรม (ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ / ยานยนต์)

ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อาจส่งตรงเวลาเข้าโรงงานในมาเลเซียและสิงคโปร์ แม้จะหาเส้นทางอ้อมได้ แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น 30-40% และใช้เวลานานกว่าปกติ 2-3 เท่า การส่งมอบล่าช้าอาจกระทบไลน์การผลิตแบบ Just-in-Time บางออเดอร์อาจต้องยอมยกเลิกเพราะไม่ทันส่ง

 2. กลุ่มสินค้าเกษตร (น้ำยางข้น / ไก่สดแช่แข็ง)

สำหรับสินค้าเน่าเสียง่ายอย่างไก่แช่เย็นแช่แข็งมีความเสี่ยงเสียหายสูงสุดหากรถติดค้างเป็นเวลานาน ผู้ประกอบการบางรายต้องแบกรับความเสียหายโดยตรงเมื่อไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันเวลา

ยุคดิจิทัลที่แพ้ภัยธรรมชาติ

นอกจากปัญหาการขนส่งแล้ว สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลายังไม่สามารถดำเนินการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) ได้ เนื่องจากน้ำท่วมสูง ระบบอินเทอร์เน็ตล่ม และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคต้องระงับจ่ายกระแสไฟฟ้า แม้ทางการได้เร่งแนะนำให้ผู้ประกอบการยื่นขอหนังสือรับรองผ่านเว็บไซต์แทน แต่ผู้ประกอบการหลายรายยังไม่คุ้นเคยกับระบบออนไลน์ ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งออกสินค้า

ภัยคุกคามต่อห่วงโซ่อุปทานภูมิภาค

ด่านสะเดาไม่ใช่แค่จุดผ่านแดนธรรมดา แต่เป็นเส้นทางโลจิสติกส์หลักที่เชื่อมต่อไปยังท่าเรือปีนัง (Penang Port) ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญของมาเลเซียในการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก การหยุดชะงักของด่านสะเดาส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของห่วงโซ่อุปทานของไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้ระบบ Just-in-Time ซึ่งต้องการความแม่นยำในการส่งมอบ หากปัญหานี้เกิดซ้ำบ่อยครั้ง อาจทำให้โรงงานพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น

เวียดนาม-อินโดนีเซีย พร้อมแย่งส่วนแบ่งตลาด

ในขณะที่ไทยกำลังประสบปัญหา ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค โดยเฉพาะเวียดนามและอินโดนีเซีย อาจใช้โอกาสนี้แย่งส่วนแบ่งตลาด ลูกค้าต่างชาติที่ไม่ได้รับสินค้าตรงเวลาจากไทย อาจหันไปหาซัพพลายเออร์ใหม่ และเมื่อพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว การกลับมาใช้ซัพพลายเออร์ไทยอีกครั้งก็ไม่ง่าย นี่คือความเสียหายระยะยาวที่มากกว่าตัวเลข 14,100 ล้านบาทต่อเดือน

แนวทางแก้ไขจากเฉพาะหน้าสู่ระยะยาว

การเร่งระบายน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่โจทย์ใหญ่คือการกระจายความเสี่ยงเส้นทางโลจิสติกส์ในระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน รัฐบาลต้องเร่งฟื้นฟูเส้นทางหลักและจัดหาเส้นทางสำรองให้สามารถใช้งานได้โดยเร็ว ควบคู่กับการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการปรับใช้ระบบออนไลน์ในการขอเอกสารการส่งออก เพื่อลดการพึ่งพาสำนักงานในพื้นที่เสี่ยงภัย

ระยะกลาง ควรพัฒนาศักยภาพของด่านชายแดนอื่นๆ เช่น บ้านประกอบ เบตง และสุไหงโก-ลก ให้รองรับปริมาณการค้าได้มากขึ้น ไม่ให้กระจุกตัวเพียงสะเดาและปาดังเบซาร์ พร้อมสร้างคลังสินค้าสำรองในพื้นที่ปลอดภัย และพัฒนาระบบขนส่งหลายรูปแบบที่ผสมผสานทั้งทางถนน รถไฟ และทางน้ำ

ระยะยาว จำเป็นต้องแก้ไขโครงสร้างของหาดใหญ่อย่างจริงจัง ทั้งระบบระบายน้ำและผังเมือง สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อภัยพิบัติ และพัฒนาระบบโลจิสติกส์ดิจิทัลที่เชื่อมโยงทุกด่านชายแดน เพื่อบริหารจัดการข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ไม่ว่าจะเกิดวิกฤตใดก็ตาม การดำเนินการทั้งสามระยะอย่างต่อเนื่องจะช่วยสร้างความมั่นคงให้ระบบการค้าชายแดนของไทยในระยะยาว

 อย่างไรก็ตาม โดยบทสรุป

วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้เห็นว่า การพึ่งพาเส้นทางขนส่งผ่าน “หาดใหญ่” เพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) มีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับมูลค่าการค้าปีละหลายแสนล้านบาท การเร่งระบายน้ำเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่โจทย์ใหญ่คือการกระจายความเสี่ยงเส้นทางโลจิสติกส์ในระยะยาว.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password