รัฐขึงพืด ‘ยาเสพติด’ ยกระดับแนวทางแก้ไข เป็นวาระ Quick Big Win ตีกรอบ! สางให้จบใน 4 ด.

รัฐบาลประกาศเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดอย่างไม่ผ่อนปรน พร้อมกำหนดเป็นวาระ “Quick Big Win” ย้ำ!เห็นผลภายใน 4 เดือน ด้าน “รองนายฯเอกนิติ” ตีกรอบ! ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งยอดจับกุมที่เพิ่มขึ้นและการขยายผลถึงผู้บงการ พร้อมประเมินผลงานครบ 4 เดือน ขณะที่กรมศุลกากร ประกาศขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ 3 แนวทาง ทั้งร่วมมือ “เอกชน – ต่างชาติ –หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย” หวังเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดกั้นยาเสพติด

เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (14 พ.ย.2568) ณ สโมสรศุลกากร, ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็น ประธานการแถลงนโยบาย “Quick Big Win in Anti-Drug Trafficking” ของกรมศุลกากร ภายใต้นโยบายเร่งรัดของรัฐบาล โดยมี นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร และผู้ แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวของทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึง ความร่วมมือจากหน่วยงานต่างประเทศ อาทิ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย (ศรภ.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.), กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น
ดร.เอกนิติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จะไม่ผ่อนปรนต่อยาเสพติดทุกรูปแบบ และกำหนดให้การปราบปรามยาเสพติด เป็น “วาระสำคัญ” ที่ต้องเห็นผลภายใน 4 เดือน โดยเป็นหนึ่งใน นโยบาย Quick Big Win เพื่อปกป้องประชาชนและเสริมความสงบเรียบร้อยของสังคมไทย รวมถึง ยกระดับภาพลักษณ์ประเทศในเวทีระหว่างประเทศ

รองนายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ปัญหายาเสพติดไม่สามารถแก้ไขโดยภาครัฐเพียงลำพังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาคธุรกิจการขนส่ง ภาคเอกชน ตลอดจนหน่วยงานต่างประเทศเพื่อปิดเส้นทางลำเลียงยาเสพติดอย่างยั่งยืน ซึ่งตนมั่นใจว่าจะได้รับร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อทำให้ไทยปลอดจากภัยเสพติด
“รัฐบาลพร้อมสนับสนุนแนวทางการปฏิบัติการ 3 มิติ ของกรมศุลกากร เพื่อป้องกันมิให้ กลุ่มบุคคลผู้ไม่พึงประสงค์ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการก่ออาชญากรรม ซึ่งจะส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีของประเทศไทยในเวทีโลก สำหรับ กรมศุลกากร ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงการคลัง ได้ทำหน้าที่เป็น “ด่านหน้า” ของประเทศ ในการสกัดกั้นการลักลอบยาเสพติด ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ โดยได้แสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นอย่างจริงจัง ในการร่วมแก้ปัญหายาเสพติดของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรการเชิงรุก เพื่อป้องกันและปราบปรามมิให้มีการใช้ช่องทางการค้าระหว่างประเทศ และป้องกันไม่ให้ประเทศไทย เป็นฐานของอาชญากรในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดให้โทษ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน” รองนายกฯเอกนิติ ย้ำ

ด้าน นายพันธ์ทอง อธิบดีกรมศุลกากร ระบุว่า ประเทศไทยยังคงถูกใช้เป็นเส้นทางลักลอบนำเข้าและส่งออกยาเสพติด เนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งผลิตสำคัญของโลก และมีระบบคมนาคมที่เอื้อต่อการขนส่งระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น กรมศุลกากรจึงวางแผนปฏิบัติการ 3 มิติ ประกอบด้วย การทำงานเชิงรุกกับผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานของการขนส่งสินค้า อาทิ DHL, FedEx, UPS, ไปรษณีย์ไทย และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองและสกัดกั้นสินค้าต้องสงสัยตั้งแต่ต้นทาง

การเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น Australia Border Force, UK Border Force, UNODC รวมถึง หน่วยงานด้านยาเสพติดจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี นิวซีแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศสและแคนาดา เพื่อดำเนินปฏิบัติการร่วมกันในการหยุดยั้งยาเสพติดข้ามชาติ และการสืบสวนขยายผลร่วมกับหน่วยงานในประเทศ เช่น ป.ป.ส., บช.ปส., ตำรวจแห่งชาติ และท่าอากาศยานไทย เพื่อทำลายเครือข่ายทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
ทั้งนี้ กรมศุลกากรยังเตรียมปฏิบัติการสำคัญภายใน 4 เดือนแรก เช่น การเริ่มปฏิบัติการกับ Australia Border Force ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (15 พ.ย.) ซึ่งรวมถึง การนำ “สุนัขดมกลิ่น K-9” จากออสเตรเลียมาใช้ในพื้นที่สุวรรณภูมิและดอนเมือง การเตรียมปฏิบัติการร่วมกับศุลกากรเกาหลีใต้ในปี 2569 การขยายพื้นที่ใช้สุนัขดมกลิ่นไปยังจุดปฏิบัติงานหลักของกรมศุลกากร และการเปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมายภาคใต้ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ตในเดือน ธ.ค. 2568

อธิบดีกรมศุลกากร ระบุว่า ปฏิบัติการเหล่านี้คาดว่าจะทำให้จำนวนการจับกุมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสำคัญที่สุดคือสามารถขยายผลไปถึงผู้สั่งการได้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดที่ไทยต้องเร่งแก้ไขในอดีต
ด้าน นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ รองเลขาธิการ ปปส. กล่าวเสริมว่า นโยบาย Quick Big Win จะช่วยยกระดับการประสานงานทุกมิติ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยยกตัวอย่างกรณีการอายัดสารเคมีที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะมีการขยายผลถึงเครือข่ายในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ยืนยันว่า ตำรวจพร้อมร่วมมือกับกรมศุลกากรและ ป.ป.ส. ในการสืบสวน ขยายผล จับกุม และยึดทรัพย์ รวมถึง ดำเนินคดีฟอกเงินต่อเนื่องจากคดียาเสพติด พร้อมระบุว่า “แม้เพียงเม็ดเดียวก็อันตราย” สะท้อนความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ในการลดปริมาณยาเสพติดที่เข้าสู่ชุมชน
รองนายกฯเอกนิติ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า การขับเคลื่อนในช่วง 4 เดือนนี้ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งในด้านการจับกุมที่เพิ่มขึ้น การสาวไปถึงผู้บงการ และความร่วมมือของทุกภาคส่วน หลังครบกำหนดจะมีการประเมินผลแบบ After Action Review เพื่อสรุปบทเรียนและยกระดับมาตรการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยย้ำว่า “การปราบปรามยาเสพติดไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยการทำงานแบบเดี่ยว ต้องเดินหน้าร่วมกันอย่างต่อเนื่อง”.









