ทบ.โต้กลับ ชี้! กัมพูชาเปิดฉากก่อน! ‘ยิงยั่วยุ’ ทหารไทย

ทบ. ยืนยันตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง หลังทหารกัมพูชายิงเข้าฝั่งไทยที่สระแก้ว เหตุการณ์ยืดเยื้อราว 10 นาที ไม่มีคนไทยบาดเจ็บ ขณะรัฐบาลเตรียมทบทวนข้อตกลงหยุดยิงชายแดน หลังเหตุระเบิดทุ่นและการปะทะถี่ขึ้น
วันนี้ (12 พ.ย.2568) พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา กรณีเกิดเหตุทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็น จุดชายแดนไทย–กัมพูชาตอนบนที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนมาก่อน
ทันทีที่ถูกยิง ฝ่ายไทยได้เข้าแนวกำบังและดำเนินการ “ยิงแจ้งเตือน” กลับไปยังจุดที่มีการยิงเข้ามา โดยเป็นไปตามกฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement) เหตุการณ์กินเวลาประมาณ 10 นาที ก่อนจะสงบลง โดยไม่มีฝ่ายไทยได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดเพิ่มเติมและรายงานต่อผู้บังคับบัญชา
พล.ต.วินธัย ย้ำว่า ฝ่ายไทยปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง และอยู่ในกรอบการป้องกันตนเองเท่านั้น ไม่ประสงค์ให้สถานการณ์บานปลาย” พร้อมยืนยันว่าทหารในพื้นที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนภายใต้คำสั่งของกองทัพภาคที่ 1 และกองกำลังบูรพาอย่างเข้มงวด
ด้าน สื่อกัมพูชาบางแห่ง รายงานต่างมุมว่า ทหารไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน โดยอ้างว่ามีพลเรือนกัมพูชาบาดเจ็บในหมู่บ้านเปรยจัน ตรงข้ามบ้านหนองหญ้าแก้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกัมพูชายังไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และไม่สามารถยืนยันข้อมูลการบาดเจ็บหรือสูญเสียจากฝั่งกัมพูชาได้อย่างอิสระ
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดทุ่นสังหารในพื้นที่ใกล้ช่องตะโก จังหวัดสระแก้ว เมื่อเช้าวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ประกาศ “ระงับการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง” ที่เคยทำร่วมกับกัมพูชาไว้ชั่วคราว พร้อมส่งสัญญาณว่า “หากไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจน ไทยจะพิจารณาทบทวนความร่วมมือด้านความมั่นคงชายแดนทั้งหมด”
ด้าน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ส่งหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชา เพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับเหตุยิงและเหตุระเบิดทุ่นที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยระบุว่าเป็น “เหตุการณ์ที่กระทบต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสองประเทศ” และอาจส่งผลต่อการเจรจาทางการทูตในอนาคต
ขณะเดียวกัน กองทัพบกไทยได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวัง และจัดกำลังลาดตระเวนเข้มในเขตพื้นที่เสี่ยงตลอดแนวชายแดนในฝั่งกัมพูชา ทั้งนี้ การเร่งรื้อถอนวัตถุระเบิดเก่าอาจเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ปะทะชายแดนในครั้งนี้ แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา
ซึ่งแม้จะอยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ก็ยังแฝงด้วยความตึงเครียดจากปัญหาเก่าที่ยังไม่คลี่คลาย ทั้งเรื่องแนวเขตแดน พื้นที่ทับซ้อน และผลประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้ รัฐบาลไทย ยืนยันว่า จะใช้มาตรการทางการทูตควบคู่กับการป้องกันเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ พร้อมย้ำให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามกลายเป็นวิกฤติระหว่างประเทศ.






