บีซีพีจี เปิดแผนกลยุทธ์ใหม่ “The Next Decade: Broadening Horizons of Sustainability” มุ่งต่อยอดความสำเร็จจากธุรกิจพลังงานสะอาดไปสู่การสร้าง โครงสร้างพื้นฐานแห่งความยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว ตั้งเป้าให้ EBITDA เติบโตเป็น 2 เท่าภายในปี 2571 และมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่ม SET50 รวมทั้งเข้าจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI (Dow Jones Sustainability Index)

นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา บีซีพีจีได้สร้างรากฐานที่มั่นคงในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยขยายพอร์ตการลงทุนทั้งด้านเทคโนโลยีและภูมิภาค ปัจจุบันบริษัทลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และก๊าซธรรมชาติ ครอบคลุมประเทศไทย สปป.ลาว เวียดนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) และสหรัฐอเมริกา รวมกำลังการผลิตกว่า 2,000 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งช่วยสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากความผันผวนทางตลาด

โครงการสำคัญของบริษัท ได้แก่ โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินการในตลาด PJM ซึ่งได้รับค่าความพร้อมจ่ายในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง โรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้เวียดนามซึ่งมีความต้องการใช้พลังงานสูง รวมทั้งโครงการพลังงานลมขนาด 600 เมกะวัตต์ใน สปป.ลาว ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าเวียดนาม และเพิ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อปลายไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด

นอกเหนือจากนั้น บริษัทได้ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนผ่านโครงการพลังงานลมในเวียดนาม 2 โครงการ รวมกำลังการผลิต 99 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (Private PPA) ในประเทศไทย ที่ภายในปีนี้มีกำลังผลิตรวม 43.6 เมกะวัตต์ เติบโตกว่าหนึ่งเท่าตัว โดยมีเป้าหมายขยายเป็น 100 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บีซีพีจียังขยายการพัฒนาโรงไฟฟ้าในไต้หวัน โดยเริ่มก่อสร้างสถานีและสายส่งขนาด 200 เมกะวัตต์เพื่อรองรับโครงการแล้ว โครงการเหล่านี้จะสร้างกระแสเงินสดมั่นคงเมื่อเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ สนับสนุนรายได้ระยะยาวและช่วยกระจายความเสี่ยงในการดำเนินงาน

ด้วยพอร์ตโฟลิโอปัจจุบัน บีซีพีจีมีศักยภาพที่จะเร่งการเติบโตของ EBITDA ให้ถึงระดับ 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2571

สำหรับผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีกำไรก่อนรายการพิเศษ 711.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 57.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 626.0 ล้านบาท ซึ่งเป็น “จุดสูงสุดใหม่” ของบริษัท สะท้อนความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจและศักยภาพในการบริหารสินทรัพย์พลังงานในหลายประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บีซีพีจีพร้อมต่อยอดสู่การบริหารจัดการ โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ (Critical Infrastructure) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยบริษัทได้ตั้งงบลงทุนในปี 2569 ไว้ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการในพอร์ตให้แล้วเสร็จตามแผน และมีศักยภาพลงทุนเพิ่มเติมในช่วงปี 2570–2571 ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจยุคใหม่

บริษัทมุ่งเน้นการลงทุนใน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่
1. ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจข้อมูล (Data Economy) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยใช้พลังงานสีเขียวต่อยอดธุรกิจพลังงานสะอาดของบีซีพีจี และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลระดับภูมิภาค (Regional Data Hub)
2. ระบบบริหารจัดการน้ำและน้ำเย็น (Water & Cooling Infrastructure) เพื่อรองรับความต้องการน้ำและระบบระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
3. ธุรกิจรีไซเคิล (Green Recycling) โดยเฉพาะการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์หมดอายุ (Solar Waste Management) ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่และเพิ่มรายได้ระยะยาว

บีซีพีจียึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายของสหประชาชาติ (UN SDGs) ทั้งในด้านพลังงานสะอาด การจัดการน้ำ โครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และรูปแบบการผลิต-บริโภคที่ยั่งยืน เพื่อสร้างรากฐานการเติบโตที่ครอบคลุมมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

“จากนี้ บีซีพีจีจะไม่หยุดอยู่แค่การผลิตพลังงานสะอาด แต่จะก้าวสู่บทใหม่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ และส่งต่อความยั่งยืนให้คนรุ่นต่อไป” นายรวี บุญสินสุข กล่าว.