‘อนุทิน’ ย้ำ! ‘แผ่นดินไทยต้องไม่เสีย’ มอบทีม JBC เจรจาปมปราสาทตาควาย สั่งคุมเข้มชายแดนสระแก้ว

นายกรัฐมนตรี ประกาศจุดยืน! “ต้องรักษาแผ่นดินไทยไว้เหนือสิ่งอื่นใด” เดินหน้าเจรจา JBC ร่วมกัมพูชา แก้ปมปราสาทตาควายอย่างมีหลักฐานและเหตุผล ขอความร่วมมือประชาชนแสดงความรักชาติภายใต้กรอบกฎหมาย ด้านกองทัพภาคที่ 1 คุมเข้มแนวชายแดนสระแก้ว สกัดการลักลอบเข้า–ออกประเทศ ป้องกันสถานการณ์บานปลาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณี ปราสาทตาควาย อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็น ประเด็นละเอียดอ่อนด้านเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา โดยยืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการเจรจาอย่างเป็นระบบผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย–กัมพูชา หรือ JBC ตามกลไกทางการทูตที่มีอยู่ เพื่อคลี่คลายข้อพิพาทด้วยเหตุผล ข้อมูล และหลักฐานเชิงเทคนิค โดยจะทยอยเจรจาแยกเป็นแต่ละประเด็น ตามลำดับขั้นตอนที่ได้วางไว้
ในฐานะ “ผู้นำรัฐบาล” ได้มอบหมายทีมเจรจาที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมาย ภูมิศาสตร์ และเทคโนโลยีสำรวจ ให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ พร้อมกำชับว่า “แผ่นดินไทยต้องไม่เสีย และต้องรักษาไว้เหนือสิ่งอื่นใด” โดยจะไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงการทำงานของคณะเจรจา เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างโปร่งใสและมีมาตรฐานสากล
ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสของ กลุ่มผู้มีอิทธิพลในสื่อออนไลน์หรือ อินฟลูเอนเซอร์ ที่เตรียมจัดกิจกรรมทวงคืนปราสาทตาควาย นายอนุทิน กล่าวว่า “ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความรักชาติได้ แต่ต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ทั้งของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศ เราต้องใช้สติและความร่วมมือเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ใช่สร้างความขัดแย้งหรือบานปลาย”
ส่วนกรณี พื้นที่บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งมีการ อ้างสิทธิ์ทับซ้อนกับกัมพูชา นั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในวาระข้อที่ 4 ของ JBC และจะต้องพูดคุยอย่างละเอียดในเวทีเจรจา โดยย้ำว่า ไทยมีหลักฐานและข้อมูลเทคโนโลยีเชิงพื้นที่ชัดเจน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันสิทธิ์ของตนเช่นกัน จึงจำเป็นต้องใช้ช่องทางการทูตอย่างเป็นทางการเพื่อหาข้อยุติ โดยรัฐบาลจะยึดมั่นในแนวทางสันติ และไม่ยอมให้เกิดการสูญเสียอธิปไตย
ขณะเดียวกัน กองทัพภาคที่ 1 โดยกองกำลังบูรพา ได้เสริมกำลังควบคุมแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ในจังหวัดสระแก้วอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบเข้า–ออกประเทศโดยผิดกฎหมาย รวมถึง การเคลื่อนไหวที่อาจกระทบต่อความมั่นคงในช่วงที่สถานการณ์ชายแดนอยู่ในความสนใจของประชาชน โดยได้ ตรึงกำลังตามจุดผ่านแดนถาวร 3 แห่ง คือ ด่านบ้านคลองลึก ด่านหนองเอี่ยน และด่านบ้านเขาดิน รวมทั้ง จุดผ่อนปรนทางการค้า 2 แห่ง คือ ด่านบ้านตาพระยา และด่านบ้านหนองปรือ พร้อมตั้งจุดตรวจ–จุดสกัดและลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง
หน่วยเฉพาะกิจที่ 11 12 และ 13 ได้ร่วมกับฝ่ายปกครองและตำรวจในพื้นที่ดำเนินการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน โดยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้แล้ว 572 คน ประกอบด้วย คนไทย 211 คน ชาวกัมพูชา 254 คน และสัญชาติอื่น 58 คน โดยอยู่ระหว่างการสอบสวนและดำเนินคดีตามกฎหมาย
พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้สั่งการให้ทุกหน่วยภายใต้กองกำลังบูรพารักษาความเข้มงวดในการปฏิบัติภารกิจ พร้อมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ กรณีที่อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างทางการเมืองหรือสื่อสังคมออนไลน์ และย้ำให้ทุกหน่วยดำเนินการอย่างรอบคอบและยึดมั่นในหลักความมั่นคงของชาติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากท่าทีของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ สะท้อนถึงความพยายามสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอธิปไตยของประเทศ กับการดำเนินการตามหลักสันติวิธีในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดย นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ความมั่นคงของแผ่นดินต้องมาก่อนการเมือง และประเทศไทยจะปกป้องผลประโยชน์ของชาติด้วยความสุขุม มั่นใจ และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ.






