(พรรค)เพื่อความอยู่รอด!!??


พรรคเพื่อไทย ในยุคที่ คกก.บริหารฯ “ไร้ – ชินวัตร” อย่างสมบูรณ์ ภายใต้การนำของ หน.พรรคฯคนใหม่ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์สนั่น! กับการเผชิญ “จุดเปลี่ยน!” ครั้งใหญ่ ยิ่งถูกจัดชั้นเป็นเพียงพรรคอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งใหม่? น่าสนใจว่า…พรรคเพื่อไทย ยามนี้ จะฝ่าเกมการเมือง กับวลีโจมตีจากคู่แข่งฯ “นโยบายสะดุด – คลิปเสียงหลุด” ท่ามกลางภาวะไร้แกนกลางที่ชัดเจน! ได้อย่างไรกัน???
แม้เบื้องหลัง! จะเป็น ความขัดแย้ง? ของคนร่วมสกุล “ชินวัตร” แต่สุดท้าย…ทุกคนต้องยอมหลักคิดและเหตุผลของ “นายใหญ่” สำหรับ…รายชื่อเดี่ยวๆ “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย – คนใหม่” นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
คนที่เหมาะสมที่สุด! ในสถานการณ์อ่อนไหว “เลือดไหลไม่หยุด!” แม้วันหน้า…จะไร้ชื่อของเขา ติด 1 ใน 3 แคนดิเดต…ว่าที่นายกรัฐมนตรี ในโควตาของพรรคฯ ที่ต้องใส่และส่งให้กับ…คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ตาม…
การขึ้นสู่ตำแหน่ง หัวหน้าพรรคฯ ของ นายจุลพันธ์ ถือเป็น…จุดเปลี่ยน! ครั้งสำคัญของพรรคเพื่อไทย ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงโครงสร้าง
คะแนน 354 จาก 369 เสียงสะท้อน “ฉันทามติภายใน” แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของพรรคฯที่จะต้อง “รีเซ็ตตัวเอง” หลังเผชิญกระแส “ตกต่ำ” อย่างต่อเนื่อง ในผลสำรวจของ โพลล์หลายสำนัก…ที่ได้จัดเกรดหล่นมาอยู่ “อันดับ 3” รองจาก…พรรคประชาชนและภูมิใจไทย
การเปลี่ยน “ผู้นำ” ครั้งนี้ ถูกมองว่า…ไม่ใช่แค่การสับเปลี่ยนภายในธรรมดา แต่คือ…การ “หายใจ” เฮือกใหญ่เพื่อเอาชีวิตรอดในสนามเลือกตั้งใหญ่ต้นปีหน้า
หันฟัง…สปีชแรก! ของ นายจุลพันธ์ หลังการประชุมใหญ่สรรหา…หัวหน้าพรรคฯคนใหม่ เมื่อเที่ยงวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยถูกจับตาและนำมาวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะ วลีที่ว่า…
“พรรคเพื่อไทยมีความคาดหวังของพี่น้องประชาชนอยู่ข้างหลัง และมีกำลังใจมากมายที่รอจะผลักดันเราให้เดินไปข้างหน้า”
แปลความในทางการเมือง นั่นคือ การวางตำแหน่งของพรรคเพื่อไทย ในฐานะ “องค์กรของความหวัง” ที่ต้องสื่อสารใหม่กับประชาชน ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า…พรรคเพื่อไทย จะต้อง “ยกเครื่องใหม่” ทั้งระบบ
ทั้งด้านการสื่อสาร การคัดผู้สมัคร และการออกแบบนโยบายให้ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชาชน!!!
สิ่งที่ทำให้ การประชุมใหญ่ครั้งนี้ ถูกขนานนามว่าเป็น “ยุคไร้เงาชินวัตร” สะท้อนจากการที่ คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ไม่มีสมาชิก “ตระกูลชินวัตร” อยู่ในสมการนี้เลยแม้แต่คนเดียว
แม้แต่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังคงไว้แค่เพียง…สถานะ “หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย” ในเชิงสัญลักษณ์ เท่านั้น
การถอยออกจากตำแหน่ง “บริหาร” เต็มรูปแบบ! มันสะท้อนชัดเจนว่า…พรรคเพื่อไทยต้องการยืนด้วยขาของตัวเองในเชิง…สถาบันการเมือง!!??
ขณะเดียวกัน! ก็ไม่ปฏิเสธ “ความผูกพัน” เชิงประวัติศาสตร์ กับ “ตระกูลชินวัตร” ผู้บุกเบิกแนวคิดนโยบาย “ประชาชนกินได้ จับต้องได้” และยังเป็น “ดีเอ็นเอ” ของพรรคฯ มาจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลง…ที่ดูเหมือนเป็น “อิสระ” ก็แฝงไว้ซึ่ง “ความเสี่ยง” อยู่ไม่น้อย??? เพราะในเชิงการเมือง “เครือข่ายชินวัตร” ยังคงเป็นเส้นเลือดใหญ่! ที่หล่อเลี้ยงพรรค ทั้งด้านทุน การจัดตั้ง และฐานเสียงในหลายจังหวัด
การแยกตัวทาง “โครงสร้าง” อาจสร้างภาพความทันสมัย แต่หากก็อาจ “ขาดกลไก” การประสานระหว่าง…คนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
พรรคฯอาจสูญเสียทั้งทุนทางการเมืองและเอกลักษณ์ที่เคยเป็นจุดขายได้!!!
นักวิชาการการเมืองจากหลายสำนัก เห็นตรงกันว่า…พรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ระหว่าง “พรรคสถาบัน” กับ “พรรคครอบครัว” ซึ่งทั้ง 2 แบบ ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน
พรรคสถาบัน…สร้างความมั่นคงระยะยาวได้ แต่เสี่ยงสูญเสียอัตลักษณ์
ส่วนพรรคครอบครัว…แม้จะมีแรงจูงใจและความเชื่อมโยงแน่นแฟ้น! แต่กลับเสี่ยงต่อการถูกมองว่า “ปิดกั้น” การเติบโตของคนรุ่นใหม่
ขณะเดียวกัน กระแสข่าวภายในพรรคฯ ที่เริ่มเผยให้เห็น…ภาพของ “3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ซึ่งพรรคฯ เตรียมวางไว้ล่วงหน้า เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง…อดีตกับอนาคต
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ตัวแทนสายประชาธิปไตยและอุดมการณ์มั่นคง คือ หนึ่งในคนกลุ่มนั้น!!!
ที่เหลือคาดว่า…น่าจะเป็น “เทคโนแครตรุ่นใหม่” ที่เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการต่างประเทศ เพื่อดึงภาพลักษณ์สมัยใหม่เข้าสู่พรรคฯ
อีกคน ก็นาจะเป็น “ตัวแทนจากเครือข่ายชินวัตร” ซึ่งอาจเป็น “ลูกเขยของทักษิณ” ที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงทุนและฐานการเมืองระดับชาติ
ถ้าเป็นจริง!…สถานะของ นายจุลพันธ์ ก็คงมิต่างจาก นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ในห้วงที่ดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าพรรคฯ” และไม่ติด 1 ใน 3 แคนดิเดทฯ
และหากแผนนี้ เดินหน้าอย่างลงตัว พรรคเพื่อไทย…อาจกลายเป็น “โมเดลใหม่” ของ…การเมืองผสมผสาน “3 มิติ” ระหว่าง…ประชาธิปไตย เทคโนโลยี และความต่อเนื่องทางทุนการเมือง
แต่ขณะที่ พรรคฯ พยายามก้าวไปข้างหน้า??? เงื่อนปมจากอดีต…ก็ยังตามหลอกหลอน ทั้ง…นโยบายเศรษฐกิจที่สะดุด! เช่น “โครงการแจกเงินหมื่น” ที่ไม่ทันบรรลุผลครบถ้วน และแนวคิด “คาสิโนถูกกฎหมาย” ที่จุดกระแสวิพากษ์ในเชิงศีลธรรมและนโยบายสาธารณะ
อีกทั้ง เหตุการณ์ “คลิปเสียงหลุด” ที่เกี่ยวข้องกับ “แกนนำระดับสูง” (อดีตนายกฯแพทองธาร) ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็น “เอกภาพ” ของพรรคฯ ถูกตั้งคำถามอย่างหนักในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา
และสิ่งนี้ อาจถูกนำมาโจมตี ระหว่าง…การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งฯ จากฝ่ายตรงข้ามในทางการเมือง!!!
ดังนั้น การฟื้นความเชื่อมั่น! จึงต้องอาศัย “การสื่อสารเชิงรุก” และ “ความโปร่งใสเชิงสัญลักษณ์” ไม่ใช่เพียง…การชี้แจงข้อเท็จจริง!!! แต่ต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า…พรรคกำลังเปลี่ยนผ่านจริงๆ ทั้งในโครงสร้าง แนวคิด และวิธีทำงาน
แต่หาก…พรรคเพื่อไทย ยังคงยึด “วิธีการสื่อสารแบบเดิม” ใช้คำอธิบายเชิงระบบราชการ หรือข้อความยาวแบบสมัยเก่า โอกาสจะสู้กับพรรคคู่แข่งที่ใช้การสื่อสารรวดเร็วและเข้าใจโซเชียลมีเดีย…จึงแทบไม่มี!!??
ในทางยุทธศาสตร์ นายจุลพันธ์ และทีมบริหารพรรคฯ คงต้องเผชิญกับ 3 ภารกิจร้อนๆ ไปพร้อมกัน นั่นคือ…
“หยุดเลือด” จากการย้ายพรรคของกลุ่มบ้านใหญ่ในต่างจังหวัด
“รีแบรนด์พรรคฯ” ให้เข้ากับคนรุ่นใหม่โดยไม่ทิ้งฐานเดิม
และ “สร้างสมดุลภายใน” ระหว่างผู้มีอิทธิพลทางการเมืองรุ่นก่อนกับนักการเมืองหน้าใหม่
ภารกิจเหล่านี้ จะต้องเกิดขึ้นพร้อมกันภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ก่อนถึง “วันเลือกตั้งใหญ่” ที่กำลังจะมาถึงในช่วงต้นปีหน้า…
นักยุทธศาสตร์บางคน มองว่า…สิ่งที่พรรคเพื่อไทย ต้องเร่งทำในระยะสั้น! นั่นคือ การเปิด “แผนงาน 100 วัน” ที่ชัดเจนใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่…
เศรษฐกิจฐานราก, การบริหารความโปร่งใสของนโยบายค้างเก่า และการสื่อสารกับประชาชนแบบตรงจุด
เพราะ “เวลา” ที่เหลือน้อย ได้กลายเป็น “ศัตรูตัวใหญ่ที่สุด!” ของพรรคฯในตอนนี้ไปแล้ว ขณะที่ “พรรคคู่แข่ง” ได้ลงพื้นที่ต่อเนื่องและยึดฐานเสียงได้แน่นกว่า…
แม้ นายจุลพันธ์ จะประกาศว่า “เพื่อไทยยังมีประชาชนอยู่ข้างหลัง” แต่ในสนามการเมืองจริง ความศรัทธา…ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะอยู่นิ่งและคงที่เสมอไป…
หาก พรรคฯไม่สามารถ “แปลงคำพูด” ให้กลายเป็นการ “ลงมือทำ” ที่เห็นผลในระยะสั้นแล้ว ภาพ “พรรคการเมืองของคนไทย” อาจกลายเป็นเพียง…ภาพความทรงจำในอดีต ก็เท่านั้น
เกมเลือกตั้งใหญ่…ต้นปีหน้า จึงเป็นทั้ง…บททดสอบและบทพิสูจน์ ว่า…พรรคเพื่อไทยในยุค “ไร้ชินวัตร” จะยืนได้ด้วยตัวเอง หรือจะกลายเป็นเพียงแค่…เงาของอดีต? ที่ยังไม่ยอมจากไป!!!
อีกไม่เกิน 3 เดือน หรือ อาจเร็วกว่านั้น??? หากการเมืองไทย…เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเกิน 6 ริกเตอร์!!!
สิ่งนี้…จะได้พิสูจน์ พรรคเพื่อไทย ในวันที่มี “หัวหน้าฯคนใหม่” ชื่อ “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” ว่า…ที่สุดแล้ว เขาและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ จะนำพา “สถาบันการเมือง” ที่ครึ่งหนึ่ง ตลอดห้วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา…เคยชนะเกมการเลือกตั้งมาตลอด
แต่ไม่ใช่ในวันที่ “ภาพลักษณ์ของพรรคฯ” ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!!…ได้หรือไม่???
อีกไม่นาน…คำตอบจะเป็นที่ประจักษ์ชัด!!!.






