เหมนปั่น…ฝันสลาย!!!

“สื่อเขมร” ปั่นเฟกนิวส์…ปูดข่าวหลอกคนชาติเดียวกัน! “ไทยเปิดด่านชายแดนกัมพูชา 1 พ.ย. 2568” สุดท้าย…เมื่อความจริงปรากฏ ทุกอย่างจึงกลายเป็นได้แค่…ฝันสลาย “กองทัพไทย”…ประกาศดังๆ โปรดฟังอีกครั้ง!!! “ไทยไม่เปิดด่าน!”

“ไม่โม่…ไม่ใช่เขมร!” (ขอใช้…ม.ม้า แทน ง.งู ชั่วคราว)

“ไม่เฟกนิวส์…ก็ไม่ใช่สื่อเขมร!” ยิ่งเป็น “สื่อกระแสหลัก” ในสังกัดของ นางฮุน มานา ลูกสาวคนโตของ นายฮุน เซน ผู้เป็น “เจ้าของ” ธุรกิจสื่อสารพัดประเภทและธุรกิจโฆษณายักษ์ใหญ่ของกัมพูชา ด้วยแล้ว…

นำเสนอข่าวแบบ…ตรงไปตรงมา!!! หายากมาก??? ส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางเดียวกับ “ดีเอ็นเอ” ของชาติพันธุ์ นี้…

ล่าสุด หลายสื่อในสังกัดนี้…ช่วยกันโหมประโคม ข่าวเฟกนิวส์ เรื่องที่ “ไทยจะเปิดด่านชายแดนกับกัมพูชาในวันที่ 1 พ.ย.2568 นี้” ทำเอา…ชาวกัมพูชา ทั้งชาวบ้านและพ่อค้านักธุรกิจ ที่อยู่ในแนวพรมแดน อย่าง… ชาวพระตะบอง บันเตียเมียนเจย และเสียมราฐ  ต่าง “กระดี๊กระด๊า” และคาดหวังว่า…

พวกเขาจะได้กลับเข้ามาหางานทำในประเทศไทย และซื้อขายค้าของกินของใช้ กลับเอาไปกิน และ/หรือ ค้าขายให้กับคนชาติเดียวกัน

สุดท้าย “แห้ว!” บางคนบอก “ฝันเปียก” เพราะเอาเข้าจริง…ฝั่งไทยจะยังไม่มีการเปิดด่านชายแดน???

เพราะทั้ง โฆษกกองทัพบก และ รัฐบาลไทย ต่างออกพูดสอดรับและยืนยันตรงกันว่า “ไม่มีคำสั่งให้เปิดด่านใด ๆ ทั้งสิ้น” พร้อมระบุชัดว่า…

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นเพียง “ข่าวลือที่สื่อเขมรปล่อยออกมาโดยไม่มีมูล”

สื่อของลูกสาวฮุนเซน อุตส่าห์ทุ่มทำ ข่าวเฟกนิวส์ เพียงเพาะต้องการสร้างภาพที่ว่า…ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชากำลังคลี่คลายแ ละมีแนวโน้มดีขึ้น ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม “สุดยอดผู้นำอาเซียน” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

ทั้งที่ในความเป็นจริง สถานการณ์ยังอยู่ในขั้นตอน “ประเมินความไว้วางใจ” เท่านั้น

กระแสข่าวลวงนี้ เริ่มจาก สื่อออนไลน์กัมพูชาหลายสำนัก (อ้างอิงจาก…สื่อของนางฮุน มานา) ที่รายงานตรงกัน ว่า “รัฐบาลไทยจะเปิดด่านในวันที่ 1 พ.ย.นี้ เพื่อให้แรงงานและพ่อค้าแม่ค้าข้ามไปมาซื้อขายได้ตามปกติ”

โดยอ้างถึง “ข้อตกลงเบื้องต้นในการประชุมอาเซียน” ซึ่งต่อมา…ถูกแชร์ต่อในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง จนเกิดความเข้าใจผิดว่า…ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงเปิดพรมแดนจริง!!!

ด้านคำพูดของ นายกอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ที่ตอบคำถามของนักข่าว แบบตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า…

“ผมไม่ทราบว่าใครตั้งวัน 1 พ.ย. ไว้…การเปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา ยังไม่มีแผนจะเปิดในเดือนหน้า”

ก่อนจะย้ำอีกว่า…“การเปิดขึ้นอยู่กับกัมพูชาที่จะต้อง แสดงความจริงใจ และเริ่มปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อน”  

ส่วน “เงื่อนไข” ที่จะนำไปสู่การเปิดด่านฯ ก็คือ…การถอนอาวุธหนักจากแนวชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ/สแกมเมอร์ และ การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนอย่างเป็นระบบ  

ด้าน พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ว่า…ฝ่ายไทยยังไม่อนุญาตให้เปิดด่าน เพราะขณะนี้อยู่ระหว่างประเมินผลการปฏิบัติของกัมพูชาตามข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ และต้อง “เห็นผลจริง” ก่อนจะพิจารณาเปิดด่าน หรือปล่อยตัวเชลยศึก

ในส่วนของ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ฝ่ายไทยได้เสนอพื้นที่ดำเนินการเบื้องต้น 13 พื้นที่ ครอบคลุมชายแดนภาคตะวันออกและภาคอีสาน โดยเริ่มดำเนินงานแล้ว 4 พื้นที่ ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนกว่าจะตรวจสอบความปลอดภัยได้ครบถ้วน

ส่วน การปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ ทาง รัฐบาลไทย ได้ตั้ง “ทีมเฉพาะกิจ”ร่วมกับ ทางการกัมพูชา แล้ว

แต่ยังไม่พบ “ผลลัพธ์เป็นรูปธรรม” มากพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นได้

เล่นเอาทั้ง กัมพูชาทั้งแผ่นดิน!…ตั้งแต่ รัฐบาล กองทัพ สื่อ พ่อค้านักธุรกิจ และประชาชนชาวกัมพูชา ต่างหน้าม่าน (อาย…ไม่กล้าสบตา) ไปตามๆ กัน

การปล่อยข่าวเฟกนิวส์ “ไทยเปิดด่าน 1 พ.ย.” จึงถูกมองว่าเป็น “ยุทธวิธีปั่นกระแส” ของสื่อฝั่งกัมพูชา เพื่อสร้างแรงกดดันทางสังคม และหวังให้ “รัฐบาลไทย” เร่งผ่อนคลายมาตรการชายแดน

ตีคู่ไปกับการสร้างภาพภายนอก ว่า…“รัฐบาลกัมพูชา” ในยุค นายกฯฮุน มาเนต กำลังประสบความสำเร็จในการฟื้นความสัมพันธ์กับไทยหลังยุคตึงเครียด

แต่ กองทัพไทย มองออกทันทีว่า…ข่าวนี้เป็นเพียง “การสร้างภาพทางการเมือง” มากกว่าเจตนาสร้างสันติภาพจริง จึงเร่งรีบชี้แจงข้อเท็จจริง สวนกลับทันควัน…

จน “หน้าเงิบ!” ไปทั้งกัมพูชา!!!

แหล่งข่าวใน กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า…การเคลื่อนย้ายรถถังออกจากแนวชายแดนเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ของทางกัมพูชานั้น เป็นเพียง “สัญลักษณ์ทางการทูต” เพื่อสอดคล้องกับ ผลประชุมสุดยอดอาเซียน เท่านั้น

มิได้หมายความว่า…ทั้ง 2 ฝ่ายจะถอนกำลังหรือเปิดพรมแดนอย่างแท้จริง!

การถอนอาวุธต้องอาศัยการตรวจสอบร่วมในทุกพื้นที่หลักเขตแดน ซึ่งต้องใช้เวลานาน และอยู่ภายใต้การกำกับของ คณะกรรมการร่วมชายแดน (JBC)

ทางกลับกัน ฝ่ายไทยยังคงยืนยันหลักการเดิม ที่ว่า… “จะไม่เปิดด่านหรือปล่อยเชลยศึก จนกว่าทุกเงื่อนไขจะเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรม”

เพราะที่ผ่านมา… กัมพูชา ในยุคของ นายฮุน เซน เคยให้คำมั่นหลายครั้ง!!! แต่ไม่เคยปฏิบัติตามอย่างครบถ้วน???

ไม่ว่าจะเป็น…การเคลียร์พื้นที่ชายแดนจากทุ่นระเบิดที่ค้างมาหลายปี, การปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกัมพูชาเกี่ยวข้อง และ การควบคุมพื้นที่ชายแดนที่ยังเป็นแหล่งลักลอบค้าไม้และสินค้าผิดกฎหมาย

ผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง ระบุว่า…การที่ทางการไทยออกมาปฏิเสธข่าวนี้อย่างแข็งกร้าว แสดงถึง “จุดยืนใหม่ของรัฐบาลอนุทิน” ที่พยายามแยกเกมการทูตออกจากเกมความมั่นคง เพื่อไม่ให้กัมพูชาใช้ช่องทางทางการเมืองมาบีบให้ไทยยอมอ่อนข้อเชิงยุทธศาสตร์

นั่นเพราะ…ประสบการณ์ในอดีต ทำให้ไทยเรียนรู้ว่า “การเชื่อใจง่าย” คือ ช่องทางที่อาจนำไปสู่การสูญเสียอธิปไตยในระยะยาว

สำหรับ ประชาชนกัมพูชา ข่าวนี้จึงกลายเป็น “ฝันสลายกลางแดด” เพราะเมื่อถึงวันที่ 1 พ.ย.จริง! ด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ว่าจะในจุดใด? ต่างก็ยังคงปิดเอาไว้เหมือนเดิม

ผู้คนชาวกัมพูชาจำนวนมาก ที่มา “นั่ง – นอนรอ” การเปิดด่านของฝ่ายไทย นับร้อยนับพันคน อาจต้องผิดหวัง!!?? ขณะที่ สื่อกัมพูชา ต่างนำเสนอข่าวในประเด็นที่ว่า… “ไทยเปลี่ยนใจ!!!”

ทั้งที่การเปิดด่านในวันดังกล่าว…มันไม่มีอยู่จริงมาตั้งแต่ต้น

ในมุมมองของฝ่ายไทย มองเหตุการณ์ “สื่อกัมพูชา” เป็นเพียงผลลัพธ์ของการ “เล่นเกมข่าว” ที่ขาดความรับผิดชอบ เท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ที่สะท้อนให้เห็นชัดว่า… “ความไม่ไว้วางใจ” ระหว่างไทย–กัมพูชายังฝังรากลึก แม้จะมีข้อตกลงระดับผู้นำ แต่ในระดับปฏิบัติยังไม่มีหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะรักษาคำพูดได้ครบถ้วน

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังมีพันธกรณีต้องดูแลความมั่นคงของประชาชนชายแดน และไม่อาจยอมให้ประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ถูกนำมาใช้ใน…เกมการเมืองต่างประเทศ ได้

ท้ายที่สุด การปั่นข่าวเฟกนิวส์ ว่า…ฝ่ายไทยจะทำการเปิดด่าน 1 พ.ย. ของสื่อกัมพูชา จึงไม่ต่างจาก “การจุดพลุในอากาศ” ที่สักพัก…ทุกอย่างก็จะจางหายไป โดยไม่มีเสียงสะท้อนจริง

และ ฝ่ายไทย…จะยังคงเดินหน้าตามขั้นตอนของตนเองอย่างรอบคอบ ไม่เร่งรีบ ไม่ประมาท และยังคงยึดมั่นในหลักอธิปไตยและความมั่นคงของชาติเป็นหลัก

เหตุการณ์นี้…จึงเป็นเครื่องเตือนใจทั้ง 2 ประเทศ ว่า…สันติภาพจะเกิดขึ้นได้จริงนั้น ไม่ใช่…ด้วย “ข่าวดีหรือปลอม” แม้กระทั่ง การสร้าง “ภาพลักษณ์ที่ดีชั่วคราว”

แต่สันติภาพที่จะเกิดขึ้นได้จริง ก็ด้วยการปฏิบัติจริง และความจริงใจ ที่ต้องพิสูจน์ให้เห็นเป็นรูปธรรม! บนแผ่นดินชายแดน นั่นเอง

หากไม่มี…2 สิ่งข้างต้น (การปฏิบัติจริง และความจริงใจ) ฝันที่เคยสวยหรูจากข่าวเฟกนิวส์ในฝั่งของตัวเอง ก็จะกลายเป็นเพียงแค่ข่าวดีที่(ต้อง)ฝันสลาย!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password