‘ไทยออยล์’ คาด ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวที่กรอบ 60 -70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำดิบผันผวนจากความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะตลาดจับตาธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยและการปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ไทยออยล์ เผย บทวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันประจำสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2568 คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 60-70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (24 ต.ค. – 30 ต.ค. 68)
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนจากความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครนเนื่องจากแผนพบปะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่จะถูกจัดขึ้นที่กรุงบูดาเปสต์ ฮังการีถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด พร้อมกับการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เพื่อที่จะตัดรายได้ของรัสเซีย และกดดันให้รัสเซียเข้าสู่โต๊ะเจรจาสันติภาพ
ทั้งนี้ ตลาดคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่อาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปี 68 หลังจากมีการปรับลดครั้งแรกของปี 68 ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตาการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ที่ยืดเยื้อยาวนานมามากกว่า 20 วัน ที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกและการลงทุน

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้
• สงครามรัสเซียยูเครนยังคงถูกจับตามอง เนื่องจากแผนพบปะของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ที่จะถูกจัดขึ้นที่กรุงบูดาเปสต์ ฮังการีถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด สำนักข่าวรายงานถึงสาเหตุของการเลื่อนการพบปะดังกล่าวของผู้นำทั้งสองว่า รัสเซียปฏิเสธการหยุดยิงในยูเครนทันที ซึ่งขัดกับความต้องการของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการหยุดยิงในทันที ในขณะเดียวกัน รัสเซียได้ใช้โดรนและขีปนาวุธโจมตียูเครน ทำให้พลเรือนยูเครนเสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แผนการประชุมของผู้นำทั้งสองถูกเลื่อนออกไป สหรัฐฯ ได้เปิดเผยถึงมาตรการคว่ำบาตรต่อบริษัทน้ำมันสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุนอาวุธสงครามแก่รัสเซีย ทั้งนี้ ตลาดมองว่าการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงไม่มีท่าทีที่จะสามารถยุติได้ในเร็ววัน
• สหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงมาตรการคว่ำบาตรลำดับที่ 19 เนื่องจากถูกระงับมาหลายสัปดาห์จากออสเตรีย ฮังการี และ สโลวาเกีย มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดรายได้ของรัสเซีย และกดดันประธานาธิบดีรัสเซียให้เข้าร่วมเจรจายุติสงคราม โดยมาตรการนี้เกี่ยวข้องกับการห้ามการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ตั้งแต่เดือน ม.ค. 70 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมหนึ่งปี อีกทั้ง ยังเข้มงวดกับการห้ามทำธุรกรรมกับบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียรวมถึงมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อเรือเดินสมุทรเงาอีก 117 ลำ
ทั้งนี้ มาตรการนี้ยังห้ามการประกันภัยสำหรับเครื่องบินและเรือรัสเซียมือสอง ห้ามการทำธุรกรรมกับธนาคารรัสเซีย 5 แห่ง และขยายไปยังการห้ามการทำธุรกรรมผ่านระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัสเซียและธนาคารของประเทศที่สามในเบลารุสและคาซัคสถาน
• ตลาดจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 ต.ค. 68 ถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปี 68 เนื่องจากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในปี 68 ในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ในการประชุมรอบเดือน ต.ค. ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดดอกเบี้ยลง แม้ว่าการเปิดเผยข้อมูลสำคัญอย่างรายงานเงินเฟ้อและรายงานการจ้างงานจะมีความล่าช้าจากการปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) แต่จากข้อมูล Fed Watch Tool ของ CME Group รายงานว่านักลงทุนให้น้ำหนักถึง 98.9% ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมในเดือน ต.ค. ทั้งนี้หากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง อาจส่งผลให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและหนุนต่อความต้องการใช้น้ำมันได้
• การปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ยืดเยื้อยาวนานมาก กว่า 20 วัน เนื่องจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันยังคงไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณชั่วคราว ทั้งนี้ การปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯมีผู้ถูกให้พักงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเป็นจำนวนมาก โดยรายงานล่าสุดมีการพักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานความปลอดภัยนิวเคลียร์แห่งชาติ (NNSA) ประมาณ 1,400 คน อย่างไรก็ตาม นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ข่มขู่พรรคเดโมแครตว่าจะลดบริการสาธารณะ และเพิ่มการเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้พรรคเดโมแครต ลงมติร่วมกับพรรครีพับลิกัน เพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลกลับมาดำเนินการอีกครั้ง ทั้งนี้การปิดทำการรัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการดำเนินการของเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงการลงทุนที่จะต้องใช้ข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นตัวเลขอ้างอิงเพื่อทำการวิเคราะห์ในการการตัดสินใจลงทุนหรือดำเนินนโยบายต่างๆ จากการเปิดเผยข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ล่าช้า
• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดุลการค้าสินค้า เดือน ก.ย. 68 ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล เดือน ก.ย. และดัชนีจีดีพีไตรมาส 3/68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ ดัชนีจีดีพีไตรมาส 3/68 และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ต.ค.68 ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน เดือน ต.ค. 68 ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีน
สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (17 ต.ค. – 23 ต.ค. 68)
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 0.07 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 58.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 0.16 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ 62.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลเนื่องจากการคลายความตึงเครียดของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ และรองนายกรัฐมนตรีของจีนมีกำหนดพบปะกันที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือมาตรการผ่อนคลายใหม่ระหว่างสองประเทศ และเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ ณ ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงปลายเดือน ต.ค. 68 ทั้งนี้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังแสดงความคาดหวังที่จะบรรลุข้อตกลงระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จากการประชุมดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และเวเนซุเอลา ภายหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ เผยว่าได้มีการอนุมัติปฎิบัติการของสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ในเวเนซุเอลา และกำลังพิจารณาการใช้ปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดิน ซึ่งการอนุมัติดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางการโจมตีของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องต่อขบวนการค้ายาเสพติดเวเนซุเอลาในเดือน ก.ย – ต.ค. 68 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงจับตามองถึงอุปทานน้ำมันดิบที่คาดว่าจะเผชิญภาวะน้ำมันดิบล้นตลาด หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ปรับตัวเลขคาดการณ์ปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินสูงขึ้นจากระดับ 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 4.0 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 69 หรือคิดเป็นร้อยละ 4.0 ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก จากการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ และผู้ผลิตนอกกลุ่ม
ขณะที่การเติบโตของอุปสงค์ยังคงอยู่ในระดับต่ำจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อีกทั้งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 10 ต.ค. 68 ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 13.64 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์.






