น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง’ ทรงสืบสานคุณค่างานศิลปหัตถกรรมไทยสู่มรดกทรัพย์สินทางปัญญา

กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงสืบสานคุณค่างานศิลปหัตถกรรมไทย สู่มรดกทรัพย์สินทางปัญญาที่ยั่งยืน ทรงพระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทย 4 สี สู่เครื่องหมายรับรองคุณภาพ “ผ้าไหมแท้” ของไทยสู่เวทีโลก เผย! ทรงสร้าง 209 ผลงานลิขสิทธิ์ จดทะเบียนทั้งในและต่างประเทศ รวม 27 ชาติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการอนุรักษ์และสืบสานงานศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน โดยทรงส่งเสริมการพัฒนางานศิลปะและหัตถกรรมพื้นบ้านทั่วประเทศ ทั้งงานทอผ้าไหม งานจักสาน งานเครื่องเงิน และศิลปะเครื่องแต่งกายของไทย เพื่อยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก พร้อมต่อยอดผลงานเหล่านี้ให้เป็น ทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน เพื่อให้ภูมิปัญญาไทยได้รับการคุ้มครอง และเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศอย่างยั่งยืน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้ความสำคัญกับ การอนุรักษ์การทอผ้าพื้นเมือง และส่งเสริมให้ชาวบ้านรักษาลวดลาย สีสัน และกรรมวิธีดั้งเดิม เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น และต่อยอดเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อสร้างอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทย 4 สี ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแท้ที่ผลิตจากประเทศไทย ประกอบด้วย

1) นกยูงสีทอง (Royal Thai Silk) สำหรับการรับรอง ผ้าไหมไทยแท้ระดับพรีเมียม ซึ่งผลิตด้วยเส้นไหมและกรรมวิธีดั้งเดิมตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน
2) นกยูงสีเงิน (Classic Thai Silk) สำหรับการรับรอง ผ้าไหมไทยแท้ที่ทอขึ้นตามภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการใช้เครื่องมือในบางขั้นตอน
3) นกยูงสีน้ำเงิน (Thai Silk) สำหรับการรับรอง ผ้าไหมไทยแท้ที่ผลิตด้วยภูมิปัญญาของไทยแบบประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีการผลิตให้เข้ากับสมัยนิยมและเป็นเชิงธุรกิจ

และ 4) นกยูงสีเขียว (Thai Silk Blend) สำหรับการรับรอง ผ้าไหมไทยแท้ที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยใช้เส้นไหมแท้ผสมผสานกับเส้นใยอื่นที่ได้จากธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน
โดยเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2547 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ตามบทบัญญัติมาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 และต่อมาได้มี การโอนสิทธิเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทาน มายังกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2553 เพื่อเป็นหน่วยงานกำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานการรับรองผ้าไหมไทย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้เครื่องหมายรับรองดังกล่าวให้แพร่หลายทั่วโลก จึงได้มีการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองตรานกยูงพระราชทานในต่างประเทศอีก35 ประเทศ ได้แก่ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) สหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง อินเดีย นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อน มาตรฐานการผลิตและความพิถีพิถันของช่างทอผ้าไทยที่สืบทอดภูมิปัญญามาจากรุ่นสู่รุ่น และยังเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมให้ผู้ผลิตและผู้ประกอบการผ้าไหมทั่วประเทศพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานสากล เพิ่มมูลค่าเชิงพาณิชย์ให้ผลิตภัณฑ์ไทย และปกป้องชื่อเสียงและภูมิปัญญาของไทยในเวทีโลก

นางอรมน กล่าวอีกว่า ตรานกยูงพระราชทาน ไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของผ้าไหมไทย แต่ยังเป็นเครื่องหมายแห่งพระเมตตาและพระวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ทรงมุ่งมั่นยกระดับภูมิปัญญาไทยสู่ระดับนานาชาติ โดยส่งเสริมให้มี การออกแบบ สร้างสรรค์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและเศรษฐกิจยุคใหม่ โดยยังคงไว้ซึ่ง เสน่ห์และอัตลักษณ์ของความเป็นไทย ถือเป็นรากฐานสำคัญของแนวคิดเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมของประเทศ

โดย สินค้าทางวัฒนธรรมตามแนวพระราชดำริของพระองค์ ที่ได้รับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีอยู่หลากหลายประเภท โดยเฉพาะ ผลงานภายใต้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเป็นผลงานลิขสิทธิ์ รวม 209 ผลงาน ได้แก่ งานศิลปกรรม (ประติมากรรมและศิลปะประยุกต์) 200 ผลงาน เช่น รูปปั้นคุณทองแดง เรือพระที่นั่งศรีประภัศรไชยจำลอง เชิงเทียนรูปดอกบัว เป็นต้น, งานวรรณกรรม (งานนิพนธ์) 1 ผลงาน ได้แก่ บทร้อยกรอง “ศิลป์แผ่นดิน” คร่ำทอง, งานโสตทัศนวัสดุ 1 ผลงาน ได้แก่ พระราชกรณียกิจสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “สืบสานตำนานไทย” และงานอื่นๆ (กล่องถมเครื่องเงิน) 7 ผลงาน เช่น ฉากปักไหมน้อย เรื่อง อิเหนา ลายโคมหงสมณฑล

นอกจากนี้ ยังมีผลงานที่ได้รับการจดทะเบียนสิทธิบัตรการประดิษฐ์ 8 ฉบับ เช่น สบู่ไหม ชนิดก้อนที่ใช้ผงไหมเซริซินที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยกำจัดจุลินทรีย์บางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง (สิทธิบัตรฉบับแรกที่ได้รับการจดทะเบียน เมื่อปี 2546) วิธีการผลิตวัสดุตกแต่งผิวปีกแมลงทับ เพื่อนำปีกแมลงทับมาประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับชนิดต่างๆ (ปี 2547) องค์ประกอบข้าวปรุงหลายชนิด โดยมีส่วนผสมของข้าวกล้องขาวดอกมะลิ ข้าวกล้องหอมแดง ข้าวเหนียวกล้องและข้าวเจ้าขาวดอกมะลิ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (ปี 2548) เครื่องผลิตเส้นไหมขัดฟัน (ปี 2555) เป็นต้น
รวมทั้ง จดทะเบียนสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ 31 ฉบับ เช่น งานออกแบบขัน ถาด จานรอง เชิงเทียน เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาและสินค้าทางวัฒนธรรมที่ช่วยเพิ่มพูนรายได้ สร้างอาชีพและความมั่นคงทางวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ร่วมสืบสานพระราชปณิธาน และน้อมนำแนวพระราชดำริมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนภารกิจด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะ การส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ซึ่งสินค้าที่มีความพิเศษ เป็นชื่อเสียงหรืออัตลักษณ์ของชุมชน โดยมีการขึ้นทะเบียนผ้า GI ไทยกว่า 17 รายการ อาทิ ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นผ้าไหมที่ทอประดิษฐ์ลวดลายด้วยการขิดและการจก ใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง และมีเส้นไหมเพิ่มพิเศษในการทำให้เกิดลวดลายเป็นเอกลักษณ์ตามกรรมวิธีการผลิตที่สืบทอดกันมา ผ้าไหมยกดอกลำพูน ซึ่งเป็นผ้าไหมที่ทอยกลวดลายให้สูงกว่าผืนผ้า ด้วยการเลือกยกบางเส้นและข่มบางเส้นเพื่อให้เกิดลวดลาย โดยใช้ตะกอลอยและใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง รวมทั้งใช้เส้นไหมพิเศษทอยกลวดลายอย่างปราณีต เป็นต้น

นอกจากนี้ กรมฯยังส่งเสริมการทำระบบควบคุมคุณภาพสินค้า GI เพื่อรักษามาตรฐานการผลิต ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าได้รับของดีมีคุณภาพที่มาจากแหล่งผลิตโดยตรง รวมทั้ง ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สินค้า GI และผลักดันแหล่งผลิตให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจน การส่งเสริมช่องทางการตลาดสินค้า GI ทั้งในและต่างประเทศ เช่น การจัดงาน GI Market การจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำและแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมสร้างการรับรู้สินค้า GI ในต่างประเทศ โดยนำ ผ้าไหมยกดอกลำพูนและผ้าตีนจกแม่แจ่ม (เชียงใหม่) มาออกแบบชุดสวมใส่ให้กับประติมากรรมแมนเนแกน พิส ซึ่งเป็น “รูปปั้นเด็ก” สัญลักษณ์ประจำกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันสินค้าผ้า GI ทั้ง 17 รายการ กลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจที่สำคัญของจังหวัดต่างๆ มีปริมาณการผลิตรวมกว่า 280,000 ชิ้นต่อปี และสามารถสร้างรายได้สู่ชุมชนรวมกว่า 490 ล้านบาทต่อปี ตอกย้ำภาพลักษณ์สินค้า GI ซึ่งถือเป็นสินค้าคุณภาพที่มีเอกลักษณ์ เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ช่วยสร้างอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน
“ในโอกาสนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ขอน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ของ สมเด็จฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแม่ของแผ่นดิน และทรงเป็นต้นแบบในการสืบสานและเผยแพร่คุณค่าของงานหัตถศิลป์ให้คงอยู่คู่แผ่นดินไทยตราบนานเท่านาน อีกทั้ง ยังทรงเป็นแรงบันดาลใจให้กับช่างฝีมือและนักออกแบบรุ่นใหม่ในการพัฒนาและต่อยอดการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความเจริญมั่นคงของประเทศชาติสืบไป” นางอรมน กล่าวทิ้งท้าย.






