ครม.ฉลุย! ดัน ‘คนละครึ่งพลัส’ 4.4 หมื่นลบ. ฉุดจีดีพี 0.3-0.4% สู้พิษเศรษฐกิจ Q4 หดตัวแรง

คณะรัฐมนตรีไฟเขียวโครงการคนละครึ่งพลัส อนุมัติวงเงิน 4.4 หมื่นล้านบาท สู้พิษเศรษฐกิจหดตัว หลังเห็นแววไตรมาส 4 ชะลอตัวแรง! มั่นใจ เม็ดเงินที่ภาครัฐจ่าย บวกเงินในส่วนของประชาชน นำรวมกับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อนุมัติเงินไปก่อนหน้านี้ มีรวมกันมากกว่า 33 ล้านคน จะดันจีดีพีเพิ่ม 0.3-0.4% ส่วนกำหนดวันเวลาลงทะเบียนและใช้เงิน รวมถึงคุณสมบัติผู้ได้รับสิทธิ์ เช็คจากข่าวได้เลย…

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (7 ต.ค.2568) มีมติเห็นชอบ โครงการคนละครึ่ง พลัส ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ โดยอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณจำนวน 4.4 หมื่นล้านบาท โดยมาจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจประจำปี 2569 วงเงิน 26,000 ล้านบาท และงบกลางอีก 19,000 ล้านบาท ครอบคลุมผู้ได้รับสิทธิในโครงการทั้งหมด 20 ล้านคน ซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ครม.ได้อนุมัติเงินช่วยเหลือแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯจำนวน 13.4 ล้านคน รวมวงเงิน 22,780 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะดำเนินการภายใต้นโยบาย Quick Big Win ลดค่าครองชีพ–เพิ่มรายได้ ของรัฐบาล
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมด้วย นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง, นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง, นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมแถลงข่าว “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. ที่จะสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งนี้ ครม.เล็งเห็นว่า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการขยายตัวระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค และต่ำกว่าศักยภาพ (Potential Growth) โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังคงเปราะบาง ภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัว ฃของเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง
ท่ามกลางความเสี่ยงทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 ที่อาจจะชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ครม.จึงได้เห็นชอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ จำนวนไม่เกิน 44,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน โดยมีรายละเอียดโครงการฯ ดังนี้
1. ระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. ถึงวันที่ 19 ธ.ค. 2568 หรือระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนด
1.2 เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 26 ต.ค. 2568 (เวลา 06.00 – 22.00 น.)

1.3 ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 (เวลา 06.00 – 23.00 น.) โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 (เวลา 06.00 – 21.00 น.)
2. กลุ่มเป้าหมาย
2.1 ประชาชนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้กรณีทั่วไป (ภ.ง.ด. 90) แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานตามมาตรา 40 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ประเภทเดียว (ภ.ง.ด. 91) หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 95) ของปีภาษี 2567 ตามฐานข้อมูลของกรมสรรพากร ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568
2.2 ประชาชนทั่วไป
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายตามข้อ 2.1 และข้อ 2.2 ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1) เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 3) มีบัตรประจำตัวประชาชน 4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามฐานข้อมูล ของกระทรวงการคลัง ณ วันที่ 1 ต.ค.2568 และ 5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืน ในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5

3. การใช้จ่าย
ภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด โดย ประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 หรือ ภ.ง.ด. 95 ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และ ประชาชนทั่วไปจะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายของโครงการฯ
ซึ่งประชาชนกลุ่มเป้าหมาย สามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่ง กระทรวงการคลัง โดย กรมบัญชีกลาง จะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า โครงการฯ ได้มีการกำหนดวงเงินสิทธิของผู้ที่ยื่นแบบภาษีมากกว่าประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินโครงการฯ

ในระยะต่อไป ภาครัฐอาจมีการกำหนดเงื่อนไขให้ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ มีการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) ในด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) หรือ ความรู้ทางด้านดิจิทัล (Digital Literacy) ผ่านแพลตฟอร์มหรือช่องทางที่กำหนด เพื่อให้สร้างทักษะในด้านต่าง ๆ เช่น การประยุกต์ใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในการบริหารจัดการต้นทุนของร้านค้า เป็นต้น ซึ่งร้านค้าที่พัฒนาสำเร็จอาจจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับการเข้าร่วมโครงการฯ ในอนาคต
โดยการดำเนินโครงการฯ จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพในชีวิตประจำวันให้แก่ประชาชนเพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ตลอดจน เพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2568 ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการดำเนินโครงการฯ จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.22 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพให้พี่น้องประชาชนให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและทั่วถึง และที่สำคัญคือ มุ่งหวังให้เศรษฐกิจไทยกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

ดร.เอกนิติ กล่าวว่า ครม.ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับสิทธิตามโครงการฯ ที่ประชาชนได้รับ และสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งนี้ ตนขอเรียนยืนยันว่า ข้อมูลโครงการฯ ไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด โดยผู้ประกอบการไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการฯ หรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือมีรายได้ ย่อมต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แล้วแต่กรณี และหากคำนวณภาษีแล้วมีเงินได้สุทธิหรือกำไรสุทธิ ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี ผู้ประกอบการก็จะไม่มีภาระภาษีที่จะต้องชำระแต่อย่างใด
ข้อมูลเพิ่มเติม
1. เว็บไซต์โครงการฯ: ติดตามรายละเอียดโครงการฯ และข้อมูลข่าวสารได้ทาง www.คนละครึ่งพลัส.com
2. ศูนย์ช่วยเหลือสำหรับประชาชน: โดยติดต่อสอบถาม โทร. 0 2111 1122 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง และตรวจสอบผลการลงทะเบียนหรือวงเงินคงเหลือ โทร. 0 2111 1122 กด 2 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ และวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง
3. ศูนย์ช่วยเหลือสำหรับร้านค้า: ติดต่อเกี่ยวกับรายการรับเงินภาครัฐ และการใช้งานแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” โทร. 0 2111 9999 กด 3 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง
4. สอบถามข้อมูลโครงการฯ: สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3510 3238 3313 3512 3532 หรือ 3502 ตั้งแต่วันจันทร์ – ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 – 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์.
