‘พาณิชย์’ ควงผู้ส่งออกบินญี่ปุ่น ถกรักษาส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวไทย จ่อคุยจีนต่อ ทวง ‘จีทูจี’ ข้าว พ่วงสำรวจตลาด

“อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ” ยกคณะกรมฯ และสมาคมผู้ส่งออกข้าว เยือนก่อนถกกระทรวงเกษตรญี่ปุ่น รักษาส่วนแบ่งตลาดนำเข้าข้าวไทย จากนั้นเตรียมบินไปปักกิ่ง เร่งคุยสัญญาซื้อขายข้าว “จีทูจี” คงค้างอีก 2.8 แสนตัน กับจีน พร้อมสำรวจตลาดแดนมังกร

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ระหว่าง 7-11 กันยายน ตนนำคณะกรมฯและสมาคมผู้ส่งออกข้าวเยือนประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือกระทรวงเกษตรของญี่ปุ่น และผู้นำเข้าข้าวไทย รวมถึงสำรวจตลาดข้าวไทยในญี่ปุ่น โดยประเด็นการหารือครั้งนี้ ได้แก่ ขอให้ญี่ปุ่นคงสัดส่วนนำเข้าข้าวไทย ที่ตามกรอบWTO กำหนดให้ญี่ปุ่นเปิดนำเข้าข้าวปีละ 7.7 แสนตัน ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งเกินครึ่งในกรอบนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นขอให้ไทยทบทวนเงื่อนไขนำเข้าข้าวญี่ปุ่นสำหรับร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย ที่เดิมกำหนดครั้งละไม่เกิน 100 ตันต่อปีต่อราย เป็น 200-300 ตันต่อปีต่อราย รองรับร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยที่มีการขยายตัวของการทำธุรกิจ จากนั้นช่วง 18-19 กันยายน จะเดินทางไปปักกิ่ง ประเทศจีน เพื่อหารือซื้อขายข้าวตามสัญญาจีทูจีที่คงค้างอีก 2.8 แสนตัน พร้อมกับสำรวจตลาด
“กรมจะจับมือผู้ส่งออกในการผลักดันส่งออกข้าวในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งปีนี้ที่ 7.5 ล้านตัน จาก 7 เดือนแรกส่งออกได้เกิน 4.3 ล้านตัน“ นางอารดากล่าว

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์การส่งออกข้าวไทย ว่า เบื้องต้นปริมาณส่งออกข้าวไทยเดือนสิงหาคมประมาณ 8 แสนตัน ส่งผลให้ 7 เดือนแรกไทยส่งออกข้าวไปทั่วโลกแล้วกว่า 4.2 ล้านตัน และมีโอกาสที่การส่งออกทั้งปี 2568 ได้ตามเป้าหมาย 7.5 ล้านตัน ปัจจัยที่ยังทำให้ข้าวไทยส่งออกได้ในระดับค่อนข้างดี เนื่องจากราคาข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวขาวราคาต่ำกว่าปีก่อนและต่ำกว่าคู่แข่งสำคัญ อาทิ ข้าวขาว 5% ราคาส่งออกของไทยอยู่ที่ตันละ 350 เหรียญสหรัฐ เวียดนามอยู่ที่ 375 เหรียญสหรัฐ อินเดีย 365 เหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาข้าวไทยต่ำลง เพราะประเทศนำเข้าสำคัญหยุดการนำเข้าหรือลดปริมาณนำเข้า โดยเฉพาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย รวมถึงผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังสูงกว่าปีก่อนๆ คาดว่ามีสต๊อกข้าวสารส่วนเกินในประเทศรอการระบายประมาณ 5 ล้านตัน เทียบกับปริมาณส่งออกที่หดตัวในปีนี้แล้ว 10 ล้านตัน โดยที่ยังไม่รวมกับผลผลิตข้าวเปลือกนาปี 2568/69 คาดว่าจะมีผลผลิตที่มากกว่าปีก่อนเช่นกัน

นายชูเกียรติ กล่าวต่อว่า สถานการณ์ส่งออกข้าว 5 เดือนหลังของปีนี้ ยังมีปัจจัยกดดันหลายด้าน หลักๆคือ สหรัฐกำลังไล่เจรจากับประเทศคู่ค้าที่สหรัฐต้องนำเข้า เช่น ญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐพยายามเจรจาให้ญี่ปุ่นเปิดเสรีนำเข้าข้าวจากสหรัฐ จากปัจจุบันญี่ปุ่นนำเข้าข้าวภายใต้ข้อกำหนดWTO รวม 7 แสนตัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นการนำเข้าจากไทย 50 % และสหรัฐ 50 % ก็กังวลว่าญี่ปุ่นอาจใช้การปรับสัดส่วนการนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น จะกระทบต่อปริมาณส่งออกของไทยไปญี่ปุ่นจากต่อปีกว่า 3.5 แสนตันลดลง และมีผลกระทบต่อข้าวขาวของไทย โดยตนจะเดินทางไปญี่ปุ่นร่วมคณะกับกรมการค้าต่างประเทศต้นสัปดาห์หน้า เพื่อหารือและติดตามในประเด็นนี้กับกระทรวงเกษตรและการค้าของญี่ปุ่น
“เอกชนกังวลว่าไม่แค่ญี่ปุ่นที่สหรัฐจะใช้เจรจาเรื่องอัตราตอบโต้ภาษีนำเข้ามาเป็นธงเจรจาเพิ่มการนำเข้าข้าวสหรัฐ แค่ประเทศเดียว ประเทศอื่นก็อาจเจอแบบเดียวกัน จึงเป็นประเด็นที่ไทยต้องติดตามและตั้งรับด้วย“ นายชูเกียรติกล่าว
นายชูเกียรติ กล่าวต่อว่า สำหรับปัจจัยกดดันต่อไป คือ ค่าเงินบาทผันผวนและทิศทางแข็งค่า ยิ่งทำให้ความสามารถแข่งขันด้านราคาข้าวไทยยากขึ้น เอกชนที่ยังค้าขายได้เพราะมีฐานลูกค้าที่เชื่อมั่นข้าวไทยและราคาข้าวในประเทศต่ำลง แต่หากราคาข้าวสูงจะเหนื่อยมาก ที่จะผลักดันส่งออกและรับซื้อต้นข้าวในประเทศสูงขึ้น อีกปัจจัยคือเสถียรภาพทางการเมือง เพราะกว่าจะได้รัฐบาลและครม.ใหม่ หรือการเมืองเปลี่ยนแปลง ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 4-6 เดือน
“ส่งออกปีหน้า 2569 จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามเรื่องกระแสอินเดียเร่งระบายข้าวในสต๊อก 20 ล้านตันเมื่อไหร่ ซึ่งเบื้องต้นราคาจะอยู่ที่ตันละ 320 เหรียญสหรัฐ ต้องดูผลการเจรจาของสหรัฐในเรื่องภาษีกับประเทศคู่ค้า และ ปัญหาความขัดแย้งทางเมืองในไทยเองด้วย ถือว่าการค้าการส่งออกข้าวไทยปีหน้าเจอมรสุมอีกปี จากปีนี้เป็นที่ชัดเจนไทยหลุดมาเป็นประเทศส่งออกข้าวอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและเวียดนาม“ นายชูเกียรติ กล่าว.