‘พาณิชย์’ชี้ช่อง! ดันเทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ GEd และ NGTs ชิงความได้เปรียบในเวทีการค้าโลก

ผอ.สนค เผย! ภูมิทัศน์สินค้าเกษตรและอาหารโลกเปลี่ยนไปแล้ว ทั่วโลกหันใจเทคโนโลยี ดัดแปลงพันธุกรรม มาช่วยสร้างความมั่นคงด้านอาหารและเพิ่มผลผลิต ย้ำ! แม้ไทยยังมีข้อห้าม GMO เชิงพาณิชย์ แต่เริ่มคลายกฎเหล็ก เปิดช่องทดลองและจดทะเบียนสิ่งมีชีวิตที่ผ่าน Ged แนะใช้เทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ GEd และ NGTs สร้างโอกาสทางธุรกิจทั้งการผลิตและจำหน่ายในเวทีการค้าระดับโลก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ภูมิทัศน์ของการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารโลก ว่า กำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมชีวภาพ โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organism: GMO) เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing: GEd) และ เทคนิคจีโนมใหม่ (New Genomic Techniques: NGTs) ซึ่งมีศักยภาพในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรมให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน

โดย โลกกำลังเดินหน้าสู่เกษตรกรรมและอาหารยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรมที่แม่นยำมากขึ้น ที่อาศัยเทคนิคการปรับปรุงพันธุ์ที่มีความแม่นยำสูง เทคโนโลยีเหล่านี้ เช่น เทคนิค CRISPR/Cas9 ที่อยู่ภายใต้กลุ่ม GEd และ NGTs กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคการผลิตพืชและอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะใน บริบทที่โลกกำลังเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนและความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงขึ้นในเชิงเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก Grand View Research ระบุว่า ตลาด Genome Editing ของโลก มีมูลค่ามหาศาล โดยในปี 2567 มีมูลค่าสูงถึง 9.78 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดไปถึง 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2573 ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ย 16.1% ต่อปี ขณะที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 18% ต่อปี

นายพูนพงษ์ ยังชี้ให้เห็นว่า นานาประเทศมีจุดยืนที่แตกต่างกันต่อเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม โดยเฉพาะ เทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMO และ เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม หรือ GEd ซึ่งเป็นประเด็นที่ เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย และการยอมรับของสังคม โดยแบ่งเป็น กลุ่มที่เปิดกว้าง ได้แก่ สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการใช้พืช GMO ทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารอย่างกว้างขวางมาอย่างยาวนาน เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย ที่สำคัญ สหรัฐฯ มองว่าเทคโนโลยี GEd ไม่จัดเป็น GMO หากไม่มีการนำพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตต่างชนิดเข้าไป เช่นเดียวกับ บราซิล  ที่มีนโยบายเปิดกว้างต่อ GMO มากที่สุด และมีกฎระเบียบที่แยก NGTs ออกจาก GMO อย่างชัดเจน หากไม่มีการใช้พันธุกรรมข้ามสายพันธุ์ ส่งผลให้บราซิลสามารถพัฒนาพืชสายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

กลุ่มที่ปรับตัวและวางกรอบอย่างรัดกุม ได้แก่ สหภาพยุโรป ยังคงมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อ GMO มาโดยตลอด แต่ล่าสุด คณะกรรมาธิการยุโรปและรัฐสภายุโรปได้มีการพิจารณาเห็นชอบในหลักการและเสนอปรับกฎระเบียบ เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับพืชที่ได้จากเทคนิค GEd และ NGTs โดยเฉพาะ กลุ่มที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ (เช่น SDN-1) ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจา เพื่อหาข้อสรุปและประกาศใช้เป็นกฎหมาย รวมทั้ง ญี่ปุ่น  ที่มีแนวทางแบบสมดุล โดยอนุญาตให้นำเข้าและใช้พืช GMO บางชนิดเพื่อเป็นอาหารสัตว์และใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ฝ้าย และแคนโอล่า แต่ไม่อนุญาตให้ปลูกเพื่อการบริโภคโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นมีแนวทางการประเมินความปลอดภัยที่ยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยี GEd โดยในหลายกรณี หากไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ ผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด GMO และสามารถวางจำหน่ายได้หลังผ่านการประเมินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและออกสู่ตลาดแล้ว เช่น มะเขือเทศที่มีสาร GABA สูง และปลาที่โตเร็วกว่าปกติ

เช่นเดียวกับ ออสเตรเลีย  ที่อนุญาตให้ปลูกพืช GMO บางชนิดได้ ภายใต้การประเมินความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น แคนโอล่า GM ที่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ปี 2546 และมีกฎหมายที่ระบุชัดเจนภายใต้การกำกับของสำนักงานกำกับดูแลเทคโนโลยียีน (Office of the Gene Technology Regulator: OGTR) ว่า เทคโนโลยี GEd ที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ (เทคนิค SDN-1) อาจไม่ถูกจัดเป็น GMO และขณะนี้กำลังมีการทดลองข้าวสาลีที่ผ่านการปรับแต่งจีโนมเพื่อเพิ่มผลผลิตอีก 10% และคาดว่าจะวางตลาดได้ภายในปี 2571

มหาอำนาจที่กำลังเปลี่ยนทิศทาง ได้แก่ จีน  ได้เปลี่ยนท่าทีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มอนุญาตให้ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย GMO บางสายพันธุ์ พร้อมตั้งเป้าขยายพื้นที่ปลูกให้ครอบคลุมกว่า 21 ล้านไร่ ภายในปี 2568 นอกจากนี้ จีนยังส่งเสริมการใช้ GEd อย่างชัดเจน โดยกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้อนุมัติพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วยเทคนิค GEd แล้วหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวสาลี และถั่วเหลือง

สำหรับ ไทย ปัจจุบันยังมีข้อห้ามปลูกพืช GMO ในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้เดินหน้าเชิงรุกภายใต้นโยบาย “IGNITE AGRICULTURE HUB ล่าสุด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกกฎกระทรวง เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567  ซึ่งอนุญาตให้มีการทดลองและจดทะเบียนสิ่งมีชีวิตที่ผ่าน GEd ได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมี โครงการวิจัยในพืชเศรษฐกิจหลายชนิด  เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ถั่วเหลือง และกล้วย ถือเป็นก้าวแรกสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ในอนาคต

ปัจจุบันมี โครงการทดลองภาคสนามของพืช GEd กว่า6,000 โครงการ เพิ่มขึ้นจาก 4,100 โครงการในปี 2564 โดยโครงการส่วนใหญ่เน้นที่พืชต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศและศัตรูพืช ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับประเทศที่เผชิญกับภาวะโลกร้อนโดยตรง รวมถึง ไทย อินเดีย และแอฟริกา

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการกำกับดูแล การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใส และที่สำคัญคือการสร้างการยอมรับและความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันยังมีความเข้าใจในวงจำกัดและมักสับสนระหว่างเทคโนโลยี GEd และ GMO ทั้งที่วิธีการและผลลัพธ์ที่ได้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ ข้อมูลจากสหรัฐฯ ชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 60% พร้อมจะยอมรับสินค้า GEd หากมีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและมีราคาสมเหตุสมผล ดังนั้น หากไทยสามารถวางระบบ Traceability ที่น่าเชื่อถือ มีการกำหนดฉลากที่เหมาะสม และออกแบบกฎหมายที่แยก NGTs ออกจาก GMO ได้อย่างชัดเจน ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมากในการเป็นฐานการผลิตและส่งออกพืช Gene-edited ที่มีมูลค่าสูงของภูมิภาคเอเชียสู่ตลาดโลก อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้ และสมุนไพร ได้ในอนาคต

เทคโนโลยี GEd และ NGTs กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเกษตรและอาหารโลกอย่างแท้จริง ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัวทั้งในเชิงนโยบาย การสื่อสารสาธารณะ และการลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟสายเทคโนโลยี และเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก ไว้ในระยะยาว” นายพูนพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password