จุดอ่อน! ปัญหาด้านสุขภาพของ “ลุงป้อม” อาจพลิกกลับมาเป็น “จุดแข็ง” กับสถานการณ์การเมืองไทยยามนี้ หากเจ้าตัวรับได้ทุกเงื่อนไขและทุกสถานการณ์จากพรรคใหญ่ เช่นกัน! การได้นั่งเก้าอี้ ‘นายกฯรอบเดือน’ แม้จะเป็นไปเพื่อ “ขัดตาทัพ” นำพาการเมืองไทยออกจากวิกฤต “นิติสงคราม” ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็น…นายกฯของประเทศไทยแล้ว

ที่สุด! น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในบริบท “รมว.วัฒนธรรม” ก็ร่วมคณะ…ครม.ชุดใหม่ “แพทองธาร 1/2” ภายใต้การนำของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนปฏิบัติหน้าที่ เมื่อช่วงสายวันนี้ (3 ก.ค.2568)

ระหว่างนั่งลุ้น…ด้วยใจจดจ่อ! จะอยู่หรือไป? จาก…คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ยื่นคำร้อง ปม “หลุดคลิปเสียง” การสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับ นายฮุน เซน ว่า เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมในทางการเมืองอย่างร้ายแรง!!!

ส่วนใหญ่เชื่อตรงกัน! โอกาสที่ น.ส.แพทองธาร จะรอด? ยากถึงยากมากที่สุด!!!

นั่นก็หมายความว่า…หาก รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายหลังเสร็จภารกิจ เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ “บทบาทนี้” ได้ตกไปอยู่ในมือของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย แล้ว

และเขาไม่มีความคิดจะ “ยุบสภาฯ” หรือ “ลาออก” ล่ะก็…

เชื่อว่า…ปลายทางแห่ง อิทธิพล “นิติสงคราม” จะล้างไพ่ “แพทองธาร 1/2” และ สภาผู้แทนราษฎร ก็ต้องสรรหาตัว “นายกรัฐมนตรีคนใหม่”

นาทีนี้ พรรคประชาชน เนื้อหอมสุด! หอมในมิติ…พร้อม “โหวตเลือกนายกฯคนใหม่” แต่ไม่ขอร่วมรัฐบาล เพื่อนำพาบ้านเมืองออกจาก วิกฤติการเมือง จากผลของ “นิติสงคราม”

2 เงื่อนไขของพรรคประชาชน ที่หากพรรคการเมืองใดก็ตาม อยากได้ “มือ ส.ส.” พรรคประชาชน สนับสนุนในสภาฯ จะต้องรับและทำตาม นั่นคือ…

การเป็นได้แค่ “นายกฯระยะสั้น” โดยต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่ตกลง กล่าวคือ 1.เป็น “นายกฯเพื่อยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจกันใหม่ และ 2.ระหว่างบริหารราชการแผ่นดิน จะต้องดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญ และ พร้อมเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่โดยเร็ว

จากเงื่อนไขนี้ ดูทรงแล้ว หากจะมี “แคนดิเดท” จากพรรคการเมืองใด? ที่ไม่ใช่ พรรคเพื่อไทย พอจะรับได้…ก็คงมีน้อย

ก่อนหน้านี้ เป็น นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ส่งสัญญาณไปยัง พรรคประชาชน เพื่อเสียงสนับสนุนโหวตเลือกให้เป็น “นายกฯคนใหม่”

แต่จาก…2 เงื่อนข้างต้น ไม่แน่ว่า…นายอนุทิน และพรรคภูมิใจไทย จะรับได้หรือไม่? และหากรับไปแล้ว…จะยอมทำตามสัญญาหรือเปล่า?

ลำพัง พรรคเพื่อไทย แม้จะเหลืออีกหนึ่ง “แคนดิเดท” นั่นคือ นายชัยเกษม นิติสิริ แต่หาก…2 พรรคใหญ่ อย่าง…พรรคประชาชน และ พรรคภูมิใจไทย ไม่สนับสนุนแล้ว โอกาสจะได้เป็น “นายกฯคนใหม่” คงเหลือน้อยเต็มที

ถ้าไม่ใช่…นายอนุทิน และนายชัยเกษม แล้วยังจะเหลือใคร? อีก!

ใครที่ว่านี้ ก็ต้องมาจาก พรรคการเมือง ที่มีเสียง ส.ส.ในมือไม่น้อยกว่า 25 คน ตามเงื่อนไขแห่งรัฐธรรมนูญปี 2560

อีกคนที่วานนี้ (2) ถูก “โฟกัส” มากที่สุดคนหนึ่ง! คงไม่พ้น “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

แม้ ส.ส.ในมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะเหลือแค่ 19 ชีวิต ทว่า มีเสียงกระซิบจากคนรอบข้าง? ยืนยันหนักแน่นกับ “ลุงป้อม” ทำนอง…กฎหมายรัฐธรรมนูญ ให้ยึดเอาจำนวน ส.ส. ภายหลังจากการประกาศรับรองของ คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่ง ณ ขณะนั้น พรรค พปชร. มีจำนวน ส.ส.รวมกันมากถึง 40 คน

“พรรค พปชร. เลือกตั้งมาเรามี สส. 40 คน นับอันเดิม เขาเอาตอนเลือกตั้ง” นั่นคือคำยืนยันจากปากของ “ลุงป้อม”

สอดรับกับคำพูดของ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ระบุว่า…“จากที่ดูกฎหมายรัฐธรรมนูญและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย ยืนยันได้ว่า พล.อ.ประวิตร ยังมีคุณสมบัติครบที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ เพราะกฎหมายให้ยึดเสียงของ ส.ส. เมื่อครั้งที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ซึ่งขณะนั้น จำนวน ส.ส.ของพรรคฯมีรวมกันมากถึง 40 เสียง ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญกำหนด”

วัดกันตามนี้ พรรค พปชร. และ “ลุงป้อม” ก็จะผ่านเกณฑ์แรก ไม่ต่างจาก กรณีของ…นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ 2 สมัย และองคมนตรี ในปัจจุบัน ซึ่งทั้งคู่เป็น “แคนดิเดท” ของพรรคฯ เช่นกัน

แต่เป็น “ลุงป้อม” เพียงคนเดียวที่ประกาศเสียงดังฟังชัด! “พร้อมชิงเก้าอี้นายกฯคนใหม่”

กระนั้น ก็มี เสียงกระซิบอีกฝั่งหนึ่ง บอกกับ “ลุงป้อม” อย่าเพิ่งชะล่าใจกับ เสียง 40 ส.ส.เมื่อวันวาน ตราบใดที่วันนี้…เหลือ ส.ส.ในมือเพียง 19 ชีวิต ซึ่งอาจไม่ตรงตามเกณฑ์แรกที่ว่านี้…

มีข้อเสนอให้ “ลุงป้อม” เร่งจัดหา “6 งู” เป็นอย่างต่ำ…เลือกเอากับ กลุ่ม ส.ส.วันนี้ ที่ในวันข้างหน้า…อาจหมดโอกาสจะได้กลับมาอีก! พร้อมคุย “ต้นสังกัด” หาเรื่องเฉด “6 งู” ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพื่อให้หาพรรคใหม่สังกัด

แลกกับ “เก้าอี้ตัวงาม”…มหาดไทย, คมนาคม, ศึกษาธิการ, สาธารณสุข ฯลฯ

ยกเว้น! กระทรวงกลาโหม ที่ “ลุงป้อม” จะขอกำกับดูแลเอง เพราะเป็น จุดเด่น…จุดแข็ง และจุดขาย ของทั้งตัวลุงและของพรรคฯ

รวมถึง “กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ” ที่จะต้องดึงเอา “มืออาชีพ” เข้ามา…สร้างความเชื่อมั่น และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ให้ทะยานไปข้างหน้า ลดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ปัญหาความเหลื่อมล้ำ

ควบคู่ไปกับ…การสร้างโอกาสใหม่ให้ธุรกิจไทย พี่น้องคนไทย และเกษตรกรไทย

คนชงแนวคิดนี้ มั่นใจว่า…กลวิธีนี้ ก็น่าจะอุดรอยรั่วกับแนวคิด 40 ส.ส.ข้างต้น ได้แน่!

หากไม่ติดขัดในเรื่องเงื่อนเวลาแล้วล่ะก็  ถึงตอนนั้น กับเงื่อนไขแรก…จะต้องมีจำนวน ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน ก็จะลงตัวและลงล็อคพอดี!

คำถามคือ…ทำไมต้องเป็น “ลุงป้อม” คนที่อายุมาก แถมสุขภาพก็ไม่สู้ดี?

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาข้างต้น อาจเป็นคำตอบที่ตรงตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนมากที่สุด!

สำหรับ “ลุงป้อม” การได้เป็น…นายกฯตัวจริง (ไม่ใช่ รักษาราชการแทนฯ เหมือนครั้งก่อน) แม้จะเพียงแค่ 2-3 เดือน อาจน้อยหรือมากกว่านั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็น นายกฯลำดับที่ 32 ของประเทศไทย แล้ว

นั่งเก้าอี้ในระยะสั้นๆ แต่หากสามารถจะสร้างผลงานได้มาก และเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้วล่ะก็ สิ่งนี้ อาจดูดีกว่า…นั่งนาน แล้วไม่มีผลงานเป็นไหนๆ!!!

เอาเข้าจริง! ในวันนี้ นายอนุทิน ก็ยังไม่พร้อม และ พรรคภูมิใจไทย ก็กำลังมีปัญหาในทางการเมือง

การได้ “ลุงป้อม” มาทำหน้าที่ “นายกฯระยะสั้น” เป็นประเภท…รอบเดือน คือ นับเดือนอยู่!!! จึงอาจเหมาะสมกับสถานการณ์นี้

เพียงแต่จะต้อง ทำภารกิจตามเงื่อนไข 3 ประการ หนึ่ง...ทำตามเจตนารมณ์ของพรรคฯ คือ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย, ยึดมั่นในอธิปไตยของชาติ, ดูแลด้านความมั่นคง และชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน

สอง…ยกเก้าอี้รัฐมนตรี ในกลุ่มที่ได้ตกลงกับเจ้าของ “6 งู” เพียงแต่ต้องกำกับดูแล อย่าให้เกิดปรากฏการณ์ “มูมมาม” รักชาติจนน้ำลายสอ เป็นพอ

และ สาม…ทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชน กล่าวคือ… 1.เป็น “นายกฯเพื่อยุบสภา” คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจกันใหม่ และ 2.ดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมเดินหน้านำไปสู่การเลือกตั้ง

ถึงตรงนี้… “ลุงป้อม” จึงอาจเหมาะสมกับการเป็น “นายกฯระยะสั้น” ท่ามกลางสถานการณ์นี้มากที่สุด!

สำหรับ…สุขภาพของ “ลุงป้อม ”แล้ว การเป็น “นายกฯรอบเดือน” ก็น่าจะเพียงพอ เพราะได้ใช้ชื่อว่า…เป็น “นายกฯประเทศไทย” แล้ว.