BAM ผนึกกลุ่ม SA ร่วมบริหารจัดการ NPL-NPA ครบวงจร เสริมแกร่งธุรกิจสร้างมูลค่าเพิ่มสินทรัพย์ จ่อผุดโครงการนำร่องที่ภูเก็ต

BAM จับมือ “กลุ่ม ไซมิส” ค่ายอสังหาฯ ชั้นนำของไทย สาย “ฤทธา” และธุรกิจ AMC ในเครือฯ เสริมแกร่งธุรกิจ มุ่งการจัดการ NPL และ NPA เพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน ต่อยอดความสำเร็จ ตามกลยุทธ์ “สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ” ด้าน “ดร.รักษ์” มั่นใจ! ดึง “มืออาชีพ” ร่วมธุรกิจ ช่วยลดการถือครองทรัพย์ด้อยคุณภาพเหลือแค่ 3.7-4.2 ปี ประกาศเปิดตัวโครงการนำร่อง Quick Wins ที่จังหวัดภูเก็ต ก่อนสยายปีกมาเมืองหลวง-ปริมณฑล และเชียงใหม่ คาดผลเรียกเก็บปีนี้ มีถึง 80% จากเป้ารวม 1.78 หมื่นล้านบาท

วันนี้ (27 มิ.ย.2568) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 17 อาคาร BAM สำนักงานใหญ่, บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM โดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAM ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือทางธุรกิจในด้าน บริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และ ทรัพย์สินรอการขาย (NPA) กับ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ จำกัด หรือ SWAM ภายใต้การนำของ นางสุนันทา สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม SA โดยมี นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ BAM เป็นประธานในพิธีฯ

นางทองอุไร กล่าวว่า การร่วมมือกับกลุ่มไซมิส จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายฐานธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพทั้ง NPL และ NPA อย่างครบวงจร โดยเบื้องต้น BAM จะทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรรและนำเสนอ NPA ให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อร่วมกันพัฒนา ซ่อมแซม และเพิ่มมูลค่า ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม ที่ดิน และอาคารพาณิชย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อ “พลิกทรัพย์ร้างให้กลายเป็นทรัพย์สร้างกำไร” สร้างรายได้ให้กับ BAM อย่างต่อเนื่อง และช่วยลดต้นทุนการถือครองทรัพย์สิน นอกจากนั้น ยังประสานความร่วมมือทางด้านการบริหารจัดการ NPL เพื่อให้การลงนามครั้งนี้ เป็นก้าวที่สำคัญของการเสริมสร้างศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจด้วยการผนึกกำลังความเป็นมืออาชีพและความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 องค์กร เพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้าน ดร.รักษ์ กล่าวเสริมว่า BAM ยังคงเดินหน้าผลักดัน กลยุทธ์ Partnership ด้วยการบริหารจัดการ NPL และ NPA อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดย SA ซึ่งสืบทอดความเชี่ยวชาญจาก “ฤทธา” บริษัทรับเหมาก่อสร้างชั้นนำของไทย ก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และ ไซมิส แอนด์ เวลธ์ ผู้รับซื้อและบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพื่อดำเนินธุรกิจอย่างสร้างสรรค์ พร้อมสนับสนุน BAM ในการเพิ่มมูลค่าทรัพย์และพัฒนาโครงการเพื่อจำหน่าย ให้เช่า และให้บริการธุรกิจโรงแรม และอื่นๆ

“ปัจจุบัน BAM มีหนี้ด้อยคุณภาพในความดูแลกว่า 91,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 498,000 ล้านบาท และมี NPA กว่า 24,000 รายการ ราคาประเมินรวมกว่า 74,000 ล้านบาท” ซีอีโอ BAM ระบุ
ขณะที่ นางสุนันทา ระบุว่า การร่วมมือกับ BAM ครั้งนี้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ SA และ SWAM สามารถพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจาก BAM ถือเป็นองค์กรหลักในระบบบริหารจัดการหนี้และทรัพย์สินรอการขายของประเทศ มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 25 ปี และมีจุดแข็งในการเพิ่มมูลค่าทรัพย์ก่อนส่งกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ถือเป็นพันธมิตรที่ช่วยต่อยอดกลยุทธ์ของบริษัทฯ ได้อย่างลงตัว
“ความร่วมมือครั้งนี้จะต่อยอดขีดความสามารถในการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งจากทรัพย์หลักประกันและทรัพย์อื่นๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างรายได้ระยะยาว พร้อมยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารทรัพย์สินด้อยคุณภาพทั้ง NPA และ NPL ให้สามารถพลิกฟื้นเป็นทรัพย์สินเชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างมูลค่าใหม่อย่างยั่งยืน ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อองค์กร ลูกหนี้ และเศรษฐกิจโดยรวม พร้อมนำพาทุกฝ่ายไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคง” นางสุนันทา กล่าว

ส่วน นางตุลณยา เองตระกูล กรรมการ SWAM กล่าวว่า SWAM จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้คำปรึกษาและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ของ BAM อาทิ กรณีที่ทรัพย์ BAM เข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาด ทาง SWAM จะเข้ามาบริหารจัดการ และ/หรือ จะพิจารณาทรัพย์สินประเภทที่อยู่อาศัยและค้าปลีก เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เพื่อนำมารีโนเวทและจำหน่ายต่อในตลาด เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการช่วยระบายทรัพย์ NPA ของ BAM อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความร่วมมือในรูปแบบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“เราเชื่อมั่นว่าด้วยประสบการณ์และความเข้าใจในตลาดสินทรัพย์รอการขาย เมื่อได้ร่วมกับ BAM และองค์กรชั้นนำทั้งในภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ จะช่วยให้ SWAM สามารถต่อยอดแนวทางการบริหารทรัพย์สินของบริษัทได้อีกมาก ทั้งในด้านการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือครองทรัพย์ รวมถึงเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในอนาคต” นางตุลณยา กล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือนี้ดังกล่าว ยังเป็นการสร้างโอกาสในการตอบโจทย์ Real Demand ในตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยคุณภาพดีในราคาที่เอื้อมถึง โดยเฉพาะทรัพย์สิน NPA และ NPL ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีมูลค่าเพิ่มหลังการรีโนเวท ด้วยองค์ความรู้ด้านวิศวกรรม การควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง และประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทำให้สามารถแปลงทรัพย์สินที่ด้อยมูลค่าให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดจริง เป็นการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ผ่านการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยการนำทรัพย์สินที่ถูกทิ้งร้างกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และการลดความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ทั้งยังมีส่วนช่วยลดการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นและส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

ดร.รักษ์ และ นางสุนันทา ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า โครงการนำร่องที่จะเริ่ม “คิ๊กออฟ” ภายหลังความร่วมมือในครั้งนี้ คือ Quick Wins จังหวัดภูเก็ต ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และหาข้อมูลทางตลาด เบื้องต้น ยังไม่ขอระบุขนาดและมูลค่าของโครงการ แต่เนื่องจากจังหวัดภูเก็ต ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นแหล่งการลงทุนทำธุรกิจและพักอาศัยหลังวัยเกษียณของชาวต่างชาติ ซึ่งนั่นจะเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ ทั้งนี้ หลังจากทำโครงการนำร่องดังกล่าวแล้ว ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะดำเนินโครงการต่อไปในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงโครงการที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของคนทั่วโลกเช่นกัน
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ดร.รักษ์ ระบุว่า เป็นไซส์ระดับ L โดยก่อนหน้านี้ BAM ได้ทำ MOU กับกลุ่ม วี บียอนด์ ซึ่งเป็นไซส์ M มาก่อนแล้ว ทั้งนี้ การได้พันธมิตรที่เป็นมืออาชีพมาร่วมดำเนินงาน จะช่วยให้ BAM สามารถลดระยะเวลาการถือครองสินทรัพย์ด้อยคุณภาพลง จากเดิมเฉลี่ยที่ 7.5-7.8 ปี เหลือเพียง 3.7-4.2 ปี เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินงาน ยังช่วยลดภาระรายจ่ายในการดูแล โดยเฉพาะดอกเบี้ยจ่าย อีกทั้ง ยังทำให้เพดานของสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของ BAM ดีขึ้นอีกด้วย
ส่วน การดำเนินงานในครึ่งหลังปี 2568 เชื่อว่า ผลเรียกเก็บจะยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกับครึ่งปีแรกที่มีผลการเรียกเก็บสูงเกินเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้รายใหญ่ 2,800 ล้านบาท และขายทรัพย์แปลงใหญ่ 1,450 ล้านบาท ทั้งนี้ BAM มีเป้าหมายที่จะสร้างผลเรียกเก็บตลอดปี 2568 รวม17,800 ล้าน ซึ่งขณะนี้ มีผลเรียกเก็บแล้วราว 10,000 ล้านบาท เชื่อว่า ณ สิ้นปีตัวเลขผลเรียกจะมีไม่ต่ำกว่า 70-80% อย่างแน่นอน.