DSI ถก ‘คดีฮั้ว สว’  ชงบอร์ด กคพ. “รับ-ไม่รับ” คดีพิเศษ 6 มี.ค.นี้

คณะอนุกรรมการฯ ดีเอสไอ ประชุมแนวทางพิจารณาคดี “ฮั้วเลือก สว.” พบเข้าข่ายความผิด “อั้งยี่-ฟอกเงิน-ม.116” จริง! เตรียมเสนอบอร์ด กคพ. เร่งรับเป็นคดีพิเศษ ส่วนปมความผิดการได้มาซึ่ง สว. ปล่อยเป็นหน้าที่ของ กกต.

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 3 มีนาคม 2568 ที่ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร, คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะ ประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และบุคลากรผู้แทนจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และ ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะ อนุกรรมการ เข้าร่วมประชุมฯ

เนื่องด้วยใน การประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาเพื่อมีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็น อำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงมีมติให้ คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม และดำเนินการเสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 3/2568 วันที่ 6 มี.ค. เพื่อให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณามีมติต่อไป

ร.ต.อ.สุรวุฒิ เปิดเผยหลังการประชุมว่า วันนี้เป็นการประชุมอนุคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เพื่อให้สำนวนเกิดความรอบคอบ โดยตามอำนาจหน้าที่ คือ เรื่องที่เสนอนั้นเป็นการกระทำความผิดอาญาอื่นหรือไม่ และในฐานความผิดใด ซึ่งตามเดิมจะเป็นความผิดฐานอั้งยี่ ฟอกเงิน และ ม.116 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ที่มีลักษณะการกระทำความผิดเป็นคดีพิเศษตาม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) – (จ) ซึ่งที่ประชุมพบความผิดชัดเจน และต้องเสนอบอร์ด กคพ. ส่วนความผิดการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ในการดำเนินการ ทั้งนี้ บอร์ด กคพ. จะมีความเห็นอย่างไร คณะอนุกรรมการฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ และจะต้องลงมติ 2 ใน 3  โดยอาจมีความอาจมีความเห็นแย้งกับคณะอนุกรรมการฯได้

ส่วนการพิจารณาประเด็น รายชื่อ 1,200 รายชื่อที่มีการเผยแพร่ก่อนหน้านี้ ยืนยันว่า เอกสารหลักฐานดังกล่าวไม่ได้มาจากดีเอสไอ แต่ต้นทางมาจากที่ใดไม่สามารถตอบได้อาจมาจากที่มีการประกาศรายชื่อ 800 คนรอบสุดท้าย ส่วนจะมีการเรียกพยานตามรายชื่อดังกล่าวหรือไม่คงต้องรอให้มีการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษก่อนจึงจะอำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริง

“โดยแนวทางการทำงานหลังมีการพิจารณาของบอร์ด กคพ. ในวันที่ 6 มี.ค.นี้ หากรับเป็นคดีพิเศษ ดีเอสไอ จะร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุดมีการตั้งคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อทำคดีดังกล่าวในคดีความผิดอาญาอื่น แต่หากไม่รับเป็นคดีพิเศษ ก็จะมีการส่งสำนวนต่อ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง” ร.ต.อ.สุรวุฒิ กล่าว

ด้าน นายนาเคนทร์ ทองไพวัลย์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ระบุว่า การที่พิสูจน์พยานหลักฐานทั้งหมด มาจากดีเอสไอเป็นหลัก ทำให้ที่ประชุมเชื่อได้ว่าน่าจะมีความผิดทางอาญาเกิดขึ้นตามความผิดฐาน พ.ร.ป. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ซึ่งส่วนนี้จะมีการนำเสนอที่ประชุม กคพ. พิจารณาอีกครั้ง.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password