เก้าอี้ตัวนี้? ไม่ใช่ที่ให้ใครมาลองผิดลองถูก!!!

รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และมี นายทักษิณ ชินวัตร “ผู้เป็นบิดา” คอยทำหน้าที่ “สรท.” ให้กับรัฐบาล เพิ่งประกาศผ่าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ภายหลังการประชุม คณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในวันเดียวกับที่รัฐบาลไทย ส่งตัว “40 ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์” กลับจีน ว่าจะใช้ ภาคการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ผลักดันเศรษฐกิจไทยให้โตจากปีก่อน (2567) ที่หดตัวเหลือแค่ 2.5% (ข้อมูลจากสภาพัฒน์) โดยมีเป้าหมายจะดันให้ถึง 3.0 – 3.5% นั้น
หลายฝ่ายเป็นห่วง เกรงจะเกิดเหตุร้ายจากปม ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน และเป็นเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน (2558) สมัยรัฐบาล คสช. ที่มี “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี กับการลอบวางระเบิดพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์
หากเกิดเรื่องทำนองนี้จริง! ย่อมกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว และเป้าหมายที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ตามที่คาดหวังกันไว้ แล้วอาจลากโยงไปถึง…เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ เพราะคงไม่นักลงทุนหน้าไหน อยากเสี่ยงกับประเทศที่กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ในแง่ของการก่อการร้ายสักเท่าใด?
ปีก่อน จีดีพี หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ต่ำกว่าที่คาดการณ์เมื่อช่วงต้นปี (2567) ว่าจะโตได้มากกว่า 3.0% แต่เอาเข้าจริง…กลับจะเกือบรั้งท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน
ฟังเสียง นายกรัฐมนตรี ที่พูดผ่ายรายการ “โอกาสไทยกับนายกฯแพทองธาร” เมื่อช่วงสายวันที่ 2 มี.ค.2568 ในท่วงทำนองที่ว่า…“ขออย่าเพิ่งเสียกำลังใจ” แม้ตัวเลขจีดีพีในปี 2567 ของไทยจะเหลือเพียง 2.5% แต่หากมองเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 4 จะพบว่า…มีการเติบโตได้มากถึง 3.2% อันเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาล อาทิ…
นโยบายฟรีวีซ่า การลงทุนของภาครัฐ และการลงทุนของบีโอไอ
แต่เหตุที่จีดีพีโตขึ้นน้อยลง รั้งท้ายกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจาก 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่ค่อยมีการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมใหม่ การเตรียมตัวยังทำไม่ทัน ทั้งที่คนไทยมีศักยภาพ เพียงแต่รอแค่โอกาสและการลงทุนเพิ่มเติม รวมไปถึงการพัฒนาทักษะเรื่องอุตสาหกรรมใหม่ เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตรถอีวี การเตรียมคนสำหรับอุตสาหกรรมรถ และการเตรียมคนสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต อย่างมาเลเซีย มีการเตรียมตัวเรื่องการทำเซมิคอนดักเตอร์มานานแล้ว เช่นเดียวกับเวียดนามที่ฝึกคนเขียนซอฟต์แวร์มาระยะหนึ่งแล้ว รัฐบาลลงทุนอย่างจริงจังในการทำสิ่งนี้ และมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยองค์ความรู้ในการผลักดันคนให้พร้อมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
“หลังจากที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาทำงาน และดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีได้ 5-6 เดือน ได้ดูเรื่องของงบประมาณ ซึ่งค่อนข้างมีจำกัดมาก ส่วนใหญ่ที่ได้มาจะนำไปจ่ายงบประจำ รัฐบาลเองพยายามจะรัดเข็มขัดให้ดี ไม่อยากให้ใช้จ่ายงบประจำเพิ่มมากขึ้น จึงอยากให้นำเงินเหล่านี้มาลงทุนในภาครัฐ ขออย่าเพิ่งเสียกำลังใจเรื่อง GDP ปี 2567 ที่โต 2.5% เพราะโตขึ้นจาก GDP ปี 2566 ที่ 2.0% ซึ่งจะเห็นว่าขยับขึ้น และภายใต้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้พร้อมเอกชนที่ให้ความร่วมมือกัน GDP มีโอกาสโตขึ้นสูงมาก ขออย่าเพิ่งท้อใจ เพราะนี่แค่ต้นปี” น.ส.แพทองธาร ระบุ
ผลงานของรัฐบาลที่มี พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ ส่งผ่านจาก นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จนถึง น.ส.แพทองธาร หากนับจากวันที่ 22 ส.ค.2566 ถึงวันนี้…เบ็ดเสร็จรวม 1 ปี 6 เดือนเศษ หรือเกือบครึ่งทางอายุรัฐบาล
แต่แทบไม่เห็นผลงานของรัฐบาลเป็นที่ประจักษ์สักเท่าใด? ก็ไม่แปลกใจ…หากโพลล์ของหลายสำนัก จะมีออกมาคล้ายๆ กัน นั่นคือ ได้คะแนน “เกือบตก”
ล่าสุด ที่ “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “6 เดือน รัฐบาลนายกฯ อุ๊งอิ๊ง” โดยการสำรวจคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทั่วประเทศรวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง ว่าด้วยความพึงพอใจต่อการทำงานของ รัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในรอบ 6 เดือน โดยเริ่มสำรวจตั้งแต่ วันที่ 24-26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา
ผลสำรวจที่มีออกมา…อาจไม่ถูกใจของใครหลายคน ทั้งนอกและใน “รัฐบาลแพทองธาร” นั่นเพราะประชาชน “กลุ่มตัวอย่าง” สูงถึง 34.58% ที่บอกว่า “ไม่ค่อยพอใจ” และ “ไม่พอใจเลย” อีก 22.28%
เอา 2 ผลลัพธ์ของการสำรวจครั้งนี้มารวมกัน จะได้ตัวเลขสูงเกินครึ่ง หรือราว 56.86%
ชัดเจนว่า…ทั้ง ตัวเลขจีดีพี และผลสำรวจของ “นิด้าโพล” สอดรับกันเป็นอย่างดี สะท้อนว่า…แนวคิดและนโยบายใดๆ ที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” มีออกมา ตั้งแต่ยุคของนายเศรษฐกิจ ถึง น.ส.แพทองธาร ยังไม่มีอะไรที่พอจับต้องได้ ทั้งๆ ที่ รัฐบาลควักเงินจ่ายให้กับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้วหลายตัว
โดยเฉพาะ “การแจกเงิน 10,000 บาท” ให้กับคนใน 2 เฟสแรก ประกอบด้วย…กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มคนพิการ และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ใช้งบประมาณไปแล้วเกือบ 2 แสนล้านบาท
แต่ผลลัพท์ที่ได้รับกลับมา คือ ปรากฏการณ์ที่บางคนเรียกว่าเป็น “เบี้ยหัวแตก!” “คลื่นกระทบฝั่ง” หรือ “ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ซึ่งมันก็สะท้อน “ศักยภาพของรัฐบาล” จากพรรคการเมืองนี้ ไม่ต่างกันนัก
นาทีนี้ จะอ้างว่า…เป็นแค่ ช่วงต้นปี หรือ ตัวเองเพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เพียง 6 เดือน อาจฟังไม่ขึ้น! เพราะอายุแท้จริงของรัฐบาลที่มี พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ มีมาเกือบ 1 ปี 6 เดือนเศษแล้ว
หาก รัฐบาลมีวิสัยทัศน์ มีศักยภาพ และมีประสิทธิภาพ รวมถึง มีเครดิตในเวทีระดับนานาชาติ อย่างแท้จริงแล้ว การพัฒนาประเทศ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่านี้ ทำให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย เป็นอยู่ได้ดีกว่านี้ ก็ไม่น่าจะทำได้เพียงแค่นี้
ประเทศไทย…มี “แต้มต่อ” มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง…คุณภาพของคน ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่ตั้งประเทศไทย แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างไว้ รวมถึงยังมี ศิลปวัฒนธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี เทศกาลต่างๆ ที่ดึงดูดให้นักลงทุน และนักท่องเที่ยว ตบเท้าเข้ามาในประเทศไทย ได้มากมายจนติดระดับท็อปของโลก
แล้วเหตุใด…อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจึงตกต่ำดำดิ่ง วงจรธุรกิจอุตสาหกรรม และชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย จึงเป็นเช่นนี้
คนไทยจะต้องร่วมกันเน้นย้ำอย่างหนักแน่น ส่งสัญญาณไปยัง “ผู้ถืออำนาจรัฐ” ประมาณว่า…
“อำนาจรัฐ” ไม่ใช่การ “ส่งไม้ต่อ” ของคนในครอบครัวหรือในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง และ เก้าอี้ “ผู้นำประเทศ” ก็ใช่ที่ที่จะให้ใครมาเรียนรู้การทำงาน
การจะก้าวขึ้นเป็น “ผู้นำประเทศ” ต้องมีวิสัยทัศน์ มีศักยภาพ และความพร้อมในฐานะ “มืออาชีพ”
ใครรู้ตัวว่าเป็นแค่ “มือสมัครเล่น” ก็รีบๆ หาทางลงเสียเถอะ! ประเทศไทย…จะลองผิดลองถูกไม่ได้อีกแล้ว มันจะกลายเป็นว่า…
คนไทยอาจต้องสูญเสียทั้งงบประมาณแผ่นดินและโอกาสในการพัฒนาประเทศ!!!.