สมาคมชาวนาฯสวนกลับ! ไม่เห็นด้วย 3 มาตรการของพาณิชย์ ยื่น 5 ข้อเสนอแก้ปัญหาข้าวนาปรังแบบตรงจุด

2 แกนนำสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย แถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับ 3 ข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ออกมาตรการช่วยเหลือช่วยเหลือเกษตรกรข้าวนาปรับ ชี้! เป็นการช่วยเหลือที่ไม่ตรงจุด พร้อมยื่น 5 ข้อเสนอให้ภาครัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือชาวนาใหม่ พร้อมสรุป 10 คำถามกลางวงประชุมคณะอนุ นบข.

นายปราโมทย์ เจริญศิลป์ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และ นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้ออกแถลงการณ์ในนามสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ว่า ตามที่ สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้ร่วมประชุม คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมและได้ร่วมพิจารณามาตรการช่วยเหลือด้านราคาข้าวนาปรังปีการผลิต2568 ดังนี้
1. ขยายโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปรัง ช่วยค่าฝากเก็บ 1,500 บาท/ตัน ระยะเวลา 1-5เดือน ในพื้นที่ 72 จังหวัด ปริมาณ 15ล้านตัน วงเงิน 1,219.13 ล้านบาท
2. การเพิ่มช่องทางการตลาดในประเทศโดยเปิดจุดรับซื้อ รัฐสนับสนุนค่าบริหารจัดการตันละ 500 บาท ผู้ประกอบการช่วยซื้อในราคานำตลาด 300 บาทต่อตัน เป้าหมาย 300,000 ตัน ในพื้นที่ 72 จังหวัด งบประมาณ 150 ล้านบาท เป็นทางเลือกให้กับเกษตรกรที่ต้องการจะขายเลย

3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อกข้าว ช่วยดอกเบี้ยผู้ประกอบการ 6%สำหรับผู้ประกอบการเก็บสต็อก 2 – 6 เดือน และผู้ประกอบการรับซื้อราคาสูงกว่าตลาด 200 บ.ตัน ขึ้นไป เป้าหมาย 2 ล้านตัน วงเงิน 524.40 ล้านบาท โดยทั้ง 3 มาตรการใช้งบประมาณรวม 1,893.53 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ ได้ชี้แจงรายละเอียด ข้อจำกัด และขีดความสามารถของมาตรการดังกล่าวถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับการใช้งบประมาณการเปิดช่องโอกาสให้เกิดการทุจริตเชิงนโยบาย รวมถึงความไม่พร้อมในเรื่ององค์ประกอบในสถาบันที่ร่วมโครงการ และที่สำคัญมาตรการต่างๆ ที่ยังไม่ตรงตามความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือ ดังนั้น เพื่อเป็นไปตามมติกรรมการสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย จึงเห็นพ้องว่า มาตรการทั้งหมด มิได้ตอบสนองความเดือดร้อนของเกษตรกรโดยแท้จริง และบางมาตรการต้องสมควรมีประจำเมื่อถึงช่วงฤดุเก็บเกี่ยว เช่นการเปิดจุดรับซื้อ จึงขอให้คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ทบทวนและวางมาตรการใหม่ตามที่เกษตรกรร้องขอเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และป้องกันการสุ่มเสี่ยงทางเสถียรภาพของรัฐบาล

ดังนั้น สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย จึงขอสรุปความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ทำนาปรังปีการผลิต 2567/68 ดังนี้
1.ขอให้ภาครัฐพิจารนา มาตรการประกันราคาผลผลิตข้าวเปลือกจ้าวในฤดูนาปรังปีการผลิต 2568
1.1 ความชื้นไม่เกิน 15% ราคาไม่ต่ำกว่า 12000 บาท/ตัน
1.2 ความชื้นไม่เกิน 25% ราคาไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท/ตัน
2.ขอให้ภาครัฐพิจารนา มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในกรณีงดเผาตอซังฟางข้าว ไร่ละ500 บาท ตามจำนวนพื้นที่เพาะปลูกที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนไว้
3.ขอให้ภาครัฐควบคุมปัจจัยการผลิต เช่นปุ๋ย ยา และน้ำมันเชื้อเพลิง
4.ขอให้ภาครัฐพิจารนาหาแนวทางชดเชยพื้นที่เกษตรกรที่ใช้เป็นทุ่งรับน้ำ ตามที่เกษตรกรร้องขอ
5.ขอให้ภาครัฐพิจารนาโครงการไร่ละ1,000 บาท ให้ยังคงเดิม อันเป็นการวางมาตรการความเสี่ยงในเรื่องต้นทุนการผลิต

“ในการดำเนินโครงการต่างๆ ภาครัฐต้องพิจารนาถึงกลุ่มเกษตรกรที่ทำการเก็บเกี่ยวไปแล้วให้ได้รับสิทธิ์ในมาตรการดังกล่าวทุกมาตรการโดยเท่าเทียมกัน” นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ย้ำและว่า ประเด็นคำถาม ที่สมาคมฯตั้งประเด็นสอบถามในที่ประชุมมี ดังนี้
1) พื้นที่นาปรัง 10 ล้านไร่ ผลผลิต 6.5 ล้านตัน แต่โครงการมีเป้าหมายซื้อเพียง 3.8 ล้านตัน คำถามคือ ส่วนที่เหลือจะทำอย่างไร และชาวนาที่เกี่ยวไปแล้วจะทำอย่างไร
2) ราคาที่ตั้งไม่ต่างจากราคาตลาด ที่มีการซื้อขาย ข้าวแห้ง (คช.15%) ที่ 8,500-8,800 บ./ตัน ข้าวสด (คช.ประมาณ 25%) 7,200-7,500 บ./ตัน
3) ต้องใช้หลักฐาน เช่นใบขึ้นทะเบียนเกษตรกร และอื่นๆหรือไม่ เพื่อยืนยัน สิทธิ์และจำนวนข้าวที่ขาย จะป้องกันอย่างไร และจะเชื่อได้อย่างไรว่ามีการซื้อขายข้าวจากชาวนาจริง ไม่เป็นการเอาข้าวของผู้ประกอบการมาสวมแล้วใช้สิทธิ์ของชาวนาในการรับส่วนต่าง 1,000 บ./ตัน
4) ชาวนาที่ขายไปก่อนหน้านี้แล้ว จะมีแนวทางช่วยเหลืออย่างไร
5) การขึ้นทะเบียนในฤดูนาปรัง มีจำนวนพื้นที่ และจำนวนชาวนากี่ราย
6) ข้อเท็จจริงที่ในวงการค้าข้าว และชาวนารับรู้กันว่าณปัจจุบัน มีเกษตรกรนำข้าวที่ไม่เป็นพันธุ์ข้าวของไทยมาปลูกจำนวนมากในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือ เราใช้ให้เข้า ใช้สิทธิ์ในการขายได้หรือไม่ หรือว่าจำกัดสิทธิ์ในการขาย และเราจะขึ้นทะเบียนเกษตรกรอย่างไร พันธุ์ที่เพาะปลูกจริงกับการขึ้นทะเบียนจะตรงกันหรือไม่

7) ในการที่ชาวนาเพาะปลูกข้าวในฤดูนาปรังมีหลายสายพันธุ์ เช่นข้าวหอมปทุม พันธุ์ข้าวกลุ่มข้าว5% กข.79พื้นนุ่ม ข้าวเหนียว จะดูแลแต่ละกลุ่มข้าวอย่างไร ควรจะกำหนดมาตราใน คราวเดียวกัน
8) สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้นำเสนอ จ่ายตรงชาวนา 500 บ./ไร่ หรือที่ชาวนาที่ออกเรียกร้องเสนอประกันรายได้ เพราะเหตุผลใดจึงไม่นำมาพิจารณา ทำไมไม่จ่ายตรงให้กับชาวนาเลย แล้วทำไมต้องซื้อข้าวไปเก็บแล้ว จ่ายค่าฝากให้ชาวนา 1,000 บ/ตัน และจ่ายให้สหกรณ์ และ/หรือโรงสี ที่เข้าร่วม 500 บ/ตัน ทั้งที่เกษตรกรได้รับประโยชน์ไม่ทั่วถึง
9) โครงการชดเชย ด/บ. ให้โรงสีที่เก็บฝาก เดิม ที่ให้ 3% เพิ่มชดเชยอีก 3% รวมเป็น 6% หรือว่าขึ้นโครงการใหม่เป็น6%โดยรัฐจะต้องใช้วงเงินเพิ่มอีก 500 กว่าล้านบาท ประโยชน์จะถึงชาวนาจริงหรือไม่ และมีคำถามจากในที่ประชุมว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้ประกอบการจะซื้อนำตลาด 200 บาทจริง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะอนุด้านการตลาด สรุปว่า เห็นด้วยในหลักการ ส่วนรายละเอียดต่าง จะมีกรรมการชุดย่อยดำเนินการ และนำเสนอ นบข. “ซึ่งสมาคมฯได้เน้นย้ำไปว่าชาวนาต้องขายข้าวสดได้ 8,000 บาท/ตัน”

โดย สมาคมชาวนาแเกษตรกรไทย ขอยืนยันว่า การประชุมคณะอนุกรรมการด้านการตลาด ข้อเสนอของสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย รวมถึงข้อเสนอของชาวนาที่ยื่นผ่านผู้ว่าฯแต่ละจังหวัด ไม่ผ่านการพิจารณา โดยแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากขัดกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 พ.ย.66 และ มติ นบข.เมื่อวันที่ 8 พ.ย.67 กำหนดว่าในการจัดทำมาตรการ/โครงการ เพื่อสนับสนุนหรือให้ความช่วยเหลือภาคเกษตรกร ให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะการให้เงินอุดหนุน ช่วยเหลือ ชดเชย หรือประกันราคาสินค้าเกษตรโดยตรงแก่เกษตรกร
ส่วนเรื่องที่ประชุมนำขึ้นมาพิจารณา โดย ฝ่ายเลขาเป็นผู้นำเสนอ ในเรื่องของมาตรการที่จะให้สหกรณ์ ดำเนินการรับซื้อ หรือรับฝาก โดยสหกรณ์ได้ 500 บาท/ตัน ชาวนาได้ 1,000 บาท/ตัน ราคาข้าวแห้งที่ 8,500 บาท/ตัน สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยไม่ได้เป็นผู้นำเสนอ และไม่ได้เป็นแนวคิดของสมาคม สมาคมฯขอยืนยันตรงนี้เพื่อความเข้าใจ เพราะสมาคมฯ และคิดว่าหลายฝ่ายทราบดีถึงขีดความสามารถและจำนวนสหกรณ์ ว่าไม่มีกำลังพอ และส่วนที่จะเอาใครมาช่วยรับสมาคมฯไม่แน่ใจ แต่คิดว่าอาจจะมีการเอาโรงสีมาเข้าโครงการ และได้ค่าการจัดการ 500 บาท/ตัน และเงินชดเชยดอกเบี้ยอีก 6% ให้โรงสีซื้อนำตลาด โดยทุกฝายทราบว่าสมาคมได้ท้วงติ่งไปในหลายประเด็น
สรุปคือ มาตรการที่ออกมาทั้งหมด ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นของสมาคมชาวนา หรือของชาวนาที่ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดที่ได้นำเสนอเลย ส่วนเรื่องการเผาฟางสมาคมได้นำเสนอต่อที่ประชุมเมื่อวานนี้แต่ที่ประชุมบอกว่าไม่มีความชำนาญเชี่ยวชาญพอ จึงขอให้กระทรวงเกษตรนำไปพิจารณาพิจารณาในคณะอนุกรรมการด้านการผลิต ต่อไป.