พาณิชย์ถก ‘รมต.รัฐอัสสัม’ ของอินเดีย – ชวนนักธุรกิจเข้าลงทุนอุตสาหกรรมอนาคตในไทย
ผช.รมต.พาณิชย์ “วรวงศ์ รามางกูร” ถก “รัฐมนตรีรัฐอัสสัม” แห่งอินเดียประเทศคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียใต้ พร้อมชวนนักธุรกิจอินเดียลงทุนไทยในอุตสาหกรรมอนาคต พร้อมดึงร่วมงานแฟร์สำคัญ เพิ่มมูลค่าการค้าให้ SMEs ไทย-อินเดีย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้ นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ หารือกับ Mr. Keshab Mahanta รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สรรพากร และการจัดการภัยพิบัติ แห่งรัฐอัสสัม ซึ่งเป็นรัฐที่มีอัตราเติบโตสูงรัฐหนึ่งของอินเดีย ตั้งอยู่ในทางตะวันออกเฉียงเหนือใกล้ชายแดนเมียนมา เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา ณ กระทรวงพาณิชย์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยการนำของ นายพิชัย ให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งไทยมีศักยภาพในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) ซึ่งอินเดียและไทยสามารถนำศักยภาพมาเสริมกัน เพื่อเชื่อมต่อการผลิต PCB และบริการที่เกี่ยวข้องได้ และตนเชิญชวนผู้ประกอบการจากรัฐอัสสัม มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในไทย อาทิ งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems and Jewelry Fair) ครั้งที่ 71 งานแสดงสินค้า THAIFEX – HOREC Asia 2025 งาน STYLE Bangkok งานแสดงสินค้าอาหาร 2568 (THAIFEX – ANUGA ASIA 2025) และ งาน TILOG – Logistix 2025 เป็นต้น และ กิจกรรมที่ทางกระทรวงพาณิชย์จะจัดขึ้นในประเทศอินเดีย อาทิ งานแสดงสินค้า Thailand Week ณ เมืองบังกาลอร์ และเมืองเจนไน งาน Top Thai Brands ณ กรุงนิวเดลี เป็นต้น เพื่อเป็นโอกาสในการพบปะเจรจาธุรกิจ และได้เสนอให้มีการเชื่อมโยงเครือข่ายให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่และสตาร์ทอัพ รวมถึงมหาวิทยาลัยของทั้งสองฝ่าย เพื่อปูทางไปสู่การค้าและการลงทุนร่วมกันของ SMEs รุ่นใหม่ต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ รัฐมนตรีของรัฐอัสสัม ยังได้หารือถึง ลู่ทางการขยายการค้าและการลงทุนไปสู่เขตเศรษฐกิจในรัฐอัสสัม ที่เป็น “ศูนย์กลาง” ของรัฐต่างๆ ที่รวมเรียกว่า “รัฐ 7 สาวน้อย” ของอินเดีย ซึ่งทางรัฐอัสสัมได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการไทยให้เดินทางไปสำรวจโอกาสการลงทุนในรัฐอัสสัม โดยจะมี การจัดงานส่งเสริมการลงทุนชื่อ Assam Advantage 2.0: Investment and Infrastructure Summit ระหว่างวันที่ 25 -26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่เมืองกวาฮาตีของรัฐอัสสัม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคการก่อสร้างเพื่อรองรับการเขตอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเชิญชวนให้เอกชนไทยเข้าไปร่วมพัฒนาและลงทุนในสาขาที่รัฐอัสสัมมีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นต้น ซึ่งทาง กระทรวงพาณิชย์ยินดีจะประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ประกอบการไทย รวมถึงพร้อมจะให้ การสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล อาทิ ศูนย์การจัดเก็บข้อมูล (Data Center) เพื่อใช้ในการจัดการทรัพยากร การจัดการภัยพิบัติ และการพัฒนาด้านอื่นๆ ของอัสสัม ทั้งนี้ ทางรัฐอัสสัมยินดีที่จะอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ แก่นักลงทุนไทยด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า อินเดียเป็นคู่ค้าลำดับที่ 11 ของไทย และเป็นคู่ค้าลำดับที่ 1 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยไทยและอินเดียมีการค้าสินค้าอุตสาหกรรมขั้นกลางระหว่างกันจำนวนมาก ซึ่งอินเดียนำไปต่อยอดการผลิตเป็นสินค้าต่างๆ เพื่อใช้ภายในประเทศและการส่งออก การค้าไทยและอินเดีย จึงมีลักษณะการเป็นห่วงโซ่อุปทานระหว่างกันในภูมิภาค โดยในปี 2567 (ม.ค. – พ.ย. 67) ไทยและอินเดียมีการค้ารวมมูลค่า 15,797.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 6.06% จากปีก่อนหน้า โดย ไทยส่งออกไปยังอินเดียเป็นมูลค่า 10,497.46 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 12.35% จากปีก่อนหน้า สำหรับสินค้าส่งออก 10 อันดับแรก ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ทองแดงและของที่ทำด้วยทองแดง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง.