BAM ลงนามรับบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ บบส.อารีย์ รวม ,172 บัญชี หรือกว่า 1,300 ล้านบาท ประกาศพร้อมเดินหน้าแก้ไขหนี้คืนสู่ระบบเศรษฐกิจ ดึงสู่การปรับโครงสร้างหนี้ที่เอื้อประโยชน์ให้กับลูกหนี้ ผ่านทุกสาขาทั่วไทย มั่นใจความร่วมมือนี้จะช่วยหนุน 2 องค์กรเติบโตยั่งยืน

นายบัณฑิต อนันตมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และ นายสันธิษณ์ วัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ อารีย์ จำกัด หรือ บบส.อารีย์ ร่วมลงนามในสัญญารับบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จำนวน 1,172 บัญชี ภาระหนี้เงินต้น 1,334.30 ล้านบาท ณ BAM สำนักงานใหญ่ ซึ่งการให้บริการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บบส.อารีย์ จะเป็นการขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของ BAM และช่วยสร้างรายได้เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

นายบัณฑิต กล่าวว่า การลงนามในสัญญาให้บริการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพกับ บบส.อารีย์ ในครั้งนี้ จะช่วยทำให้ความร่วมมือการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีหลักประกันของ บบส.อารีย์ ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดย BAM เชื่อมั่นว่าเรามีความพร้อมทั้งในด้านประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรในการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ตลอดจนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมถึงช่องทางการให้บริการลูกค้าอย่างครบวงจร รวมทั้งการมีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่อีกด้วย 

ทั้งนี้ BAM เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ทุกรายเข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน โดยเจรจาบนพื้นฐานความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งสามารถเจรจาได้ในทุกขั้นตอน แม้ว่าลูกหนี้จะอยู่ในขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายก็ตาม  BAM กับ บบส.อารีย์จะร่วมมือกันดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทั้ง 2 องค์กร และช่วยเหลือลูกหนี้ที่สุจริตให้ผ่านพ้นปัญหาหนี้สินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งจะส่งผลให้หนี้เสียได้รับการแก้ไขให้กลายเป็นหนี้ดี เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจปกติ รวมถึงเป็นการช่วยลดหนี้ภาคครัวเรือนของประชาชนในประเทศตามนโยบายภาครัฐ นอกจากนี้ การผนึกกำลังดังกล่าว ยังเป็นการช่วยให้ทั้ง 2 องค์กรสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่ง และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต   

ตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา BAM ดำรงบทบาทหลักในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงิน และบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย จนสามารถแก้ไขปัญหาหนี้ได้ข้อยุติมากกว่า 158,000 ราย คิดเป็นภาระหนี้กว่า 492,000 ล้านบาท และสามารถจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายไปกว่า 53,000 รายการ คิดเป็นราคาประเมินกว่า 126,000 ล้านบาท.