‘พาณิชย์’ คิกออฟ! ของขวัญปีใหม่ New Year Mega Sale 2025 ยกทัพสินค้า 4 หมื่นรายการกระตุ้นกำลังซื้อปลายปี
“พิชัย นริพทะพันธุ์” นำภาครัฐและเอกชนร่วม “คิกออฟ -ของขวัญปีใหม่ New Year Mega Sale 2025” ยกทัพสินค้า 40,000 รายการ ลดแหลก แจกความสุข ลดค่าครองชีพคนไทยทั้งประเทศ กว่า 4,800 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจ 14,400 ล้านบาท ลดข้ามปีถึง 31 ม.ค.2568 ปลื้ม! ตลาดโลกต้องการสินค้าไทยสูง หวั่นค่าเงินบาทแข็งเกินไป อาจเป็นอุปสสรรคส่งออกไทยปีหน้า นัดภาคเอกชนถกหาทางออกพรุ่งนี้ (18) วอนแบงก์ชาติ ดูแลค่าเงินบาท ชี้! ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หนุนส่งออกไทยปีหน้าโตเป็นบวกแน่!
เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ณ ลานอเนกประสงค์ ชั้น 3 กระทรวงพาณิชย์, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วย นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน ร่วม Kick Off “พาณิชย์ลดราคา New Year Mega Sale 2025” ภายใต้ โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับผู้ผลิตสินค้าผู้จำหน่าย ร้านสะดวกซื้อ ห้างค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้าและแพลตฟอร์มออนไลน์ กว่า 300 ราย ยกทัพสินค้าราคาถูกกว่า 40,000 รายการ สูงสุดถึง 80% ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ม.ค.68 ร่วม 46 วัน เพื่อช่วยลดค่าครองชีพคนไทยทั้งประเทศกว่า 4,800 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 14,400 ล้านบาท ส่งมอบความสุขข้ามปีในช่วงเทศกาลปีใหม่
นายพิชัย ย้ำว่า รัฐบาลโดยการนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนในช่วงวิกฤต เปิดตัวโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาถึงการจัดงานวันนี้ ที่รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์จัดขึ้น เพื่อลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนและส่งมอบความสุขในช่วงเทศกาลปีใหม่ จัดพาณิชย์ลดราคา New Year Mega Sale 2025 ผนึกกำลังกับพันธมิตรทุกภาคส่วน ลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจส่งมอบความสุขให้กับประชาชนทั่วประเทศในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2567 ถึง 31 มกราคม 2568 รวม 46 วัน มีสินค้ามากมายจากผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการ ห้างค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ และแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 300 ราย ลดราคาสูงสุดถึง 80%
สำหรับ สินค้านำมาลดราคา ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ประจำวัน เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย ของแต่งบ้าน อุปกรณ์ช่าง ยาและเวชภัณฑ์ บริการทางการแพทย์ ศูนย์บริการรถยนต์ โรงแรมที่พัก สายการบินประกันภัย บริการอินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์ ร้านอาหาร และแพลตฟอร์มออนไลน์ (บริการส่งอาหาร ขนส่ง-พัสดุ) และกลุ่มสินค้าเกษตร สินค้าชุมชน เป็นต้น อีกทั้งยังจัด กิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมมือกับอีคอมเมิร์ซชั้นนำผ่านแพลตฟอร์ม Lazada, Shopee, Grab Food, Lineman, Foodpanda, Robinhood มอบส่วนลดสุดพิเศษในการซื้อสินค้าและบริการช่วงเทศกาลปีใหม่
“ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ทั้งความร่วมแรงร่วมใจจากภาคเอกชนและเจ้าหน้าที่ ที่ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้มาร่วมเลือกซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการที่มีกว่า 44,919 สาขาทั่วประเทศและใช้สิทธิ์ในโครงการนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเติมเต็มความสุขในช่วงปีใหม่ ต้อนรับปี 2568 ด้วยความสุขความหวังและความสำเร็จทุกด้าน” รมว.พาณิชย์ กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่มอบความสุขให้กับคนไทยในช่วงเทศกาลปีใหม่ อาทิ จัดงาน Made in Thailand ลดราคาสินค้าส่งออก 20-25% จัดจุดจำหน่ายสินค้าในส่วนภูมิภาค 76 จังหวัดกว่า 300 จุดทั่วประเทศ มอบส่วนลดแพ็คเกจแฟรนไชส์ ให้บริการข้อมูล FTA ฟรี ขยายเวลาให้บริการประชาชน อบรมและพัฒนาธุรกิจฟรี กว่า 4 หลักสูตร 38 วิชา ให้บริการ Fast Track ผ่านระบบ e-filing ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า นอกจากสินค้าไทยจะมีคุณภาพดีแล้ว ยังถือว่าในปีนี้เป็นปีแห่งความสำเร็จ หลังจากมีการนำคณะเยือนประเทศต่างๆ ต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยหลายประเทศยินดีที่จะสั่งซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคจากไทยเพิ่มขึ้น เห็นได้จากตัวเลขภาพรวมการส่งออกของไทยในปีนี้สูงขึ้นมาก รวมถึงตัวเลขการส่งออกโดยรวมในปีนี้จะเติบโตเกินร้อยละ 4.9
อย่างไรก็ตาม จากการรับฟังภาคเอกชนไทย ยังมีความเป็นห่วงปัญหาการแข็งค่าเงินบาทไทยเร็วเกินไป โดยขณะนี้ค่าเงินบาทไทยเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมค่าเงินบาทไทยอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้นัดประชุมกับภาคเอกชนผู้ส่งออกในวันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) เพื่อประเมินและรับฟังถึงทิศทางการส่งออกไทยในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเบื้องต้น ยังมองว่าการส่งออกไทยในปีหน้ายังเติบโตเป็นบวก แต่ยังบวกมากน้อยแค่ไหน? ขอให้มีการประชุมเพื่อสรุปทิศทางที่ชัดเจนก่อน แต่อยากให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้ามาดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากจนเกินไป เพราะหากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าอยู่เช่นนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวการส่งออกของไทยในปีหน้า.