7 Innovation Awards 2022 : สุดยอดนวัตกรรมแห่งโอกาส หนุนสินค้าไทยสู่เวทีโลก

เซเว่น อีเลฟเว่น ผนึก 10 องค์กรเครือข่ายนวัตกรรม จัด 2 งานใหญ่ “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2022” และ “สุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards 2022” หวังสร้างแรงบันดาลใจให้นวัตกรไทย พร้อมเปลี่ยนโลกด้วยนวัตกรรม ตั้งเป้าหนุน SMEs และ สตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ-สังคม พร้อมส่งสินค้าไทยไปขายในเวทีนานาชาติ

ภาพการผนึกกำลังครั้งยิ่งใหญ่ของ บมจ.ซีพี ออลล์ จำกัด (เซเว่น อีเลฟเว่น) และ 10 องค์กรเครือข่ายนวัตกรรมภาครัฐ-เอกชน ร่วมกับ ผู้ประกอบการกลุ่ม SMEs และบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพ รวมกันมากกว่า 30 แห่ง ในพิธีมอบรางวัล “สุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards 2022” ซึ่งเป็นการจัดงานฯต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 9 เมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 สิงหาคม 2565 ณ ภิรัช ฮอลล์ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา
ไม่เพียงจะเป็นภาพแห่งความประทับใจ หากยังเป็นภาพแห่งความหวัง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อการจะพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย นำไปสู่เวทีการค้าในระดับสากลในอนาคตอันใกล้ตามมา
สิ่งนี้…พิสูจน์ได้จากบรรยากาศการจัดงาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2022” ที่จัดขึ้น เมื่อช่วงสายของวันเดียวกัน บริเวณด้านหน้าของ ภิรัช ฮอลล์ โดยมีบูธแสดงผลงานนวัตกรรมจากผู้ที่เคยได้รับรางวัลในอดีตและปัจจุบันรวม 90 บูธ ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มคนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก

คนดังๆ ระดับประเทศ อย่าง ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล กรรมการและเลขามูลนิธิชัยพัฒนา ในฐานะ ประธานในการมอบรางวัล ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ อดีต รมช.คลัง อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ (รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ในฐานะ ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล “สุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards” นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ รวมถึง ผู้บริหารระดับสูงในแวดวงธุรกิจ และเจ้าของ/ผู้บริหารของ SMEs และบริษัทสตาร์ทอัพไทย ต่างตบเท้าเข้าร่วม ทั้ง 2 งานนี้
นายก่อศักดิ์ ระบุว่า การจัดงาน “Thailand Synergy เพื่อ SMEs ไทย ประจำปี 2022” สะท้อนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการรวมพลังขับเคลื่อนและสนับสนุน SMEs ที่มีนวัตกรรม พร้อมงานประกาศผลรางวัลสุดยอดนวัตกรรม “7 Innovation Awards 2022” โดยมี วัตถุประสงค์หลัก เพื่อเฟ้นหาสินค้านวัตกรรมจาก SMEs และบริษัทสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพ ในการพัฒนาและต่อยอดให้เป็นนวัตกรรมสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคจนได้รับการยอมรับในระดับประเทศหรือในระดับโลก อีกทั้งเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้ทดสอบศักยภาพของตนเองในการยกระดับขีดความสามารถด้านนวัตกรรมในระดับประเทศ

“เราจัดงานต่อเนื่องมาถึงปีที่ 9 เพราะเซเว่น อีเลฟเว่นและองค์กรความร่วมมือ ต่างตระหนักร่วมกันว่า การจะก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างสมบูรณ์ ประเทศต้องขับเคลื่อนบนฐานรากของนวัตกรรม ใช้นวัตกรรมสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคม หาก SMEs และสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญใส่ใจพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจัง ก็จะเพิ่มโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ ผลงานของ SMEs หลายๆ เจ้าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความสามารถของผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง” นายก่อศักดิ์ กล่าวและว่า
แผนการขยายสาขาในต่างประเทศของเซ่เว่น อีเลฟเว่น ภายใต้การดูแลของ บมจ.ซีพี ออลล์ โดยเฉพาะในกัมพูชาที่จะมีสาขาครบ 40 แห่งในสิ้นปี 2565 รวมถึงสาขาใน สปป.ลาว ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่นั้น ล้วนมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการจะนำสินค้าไทยที่ได้รับการต่อยอดจากนวัตกรรมใหม่ๆ ไปวางจำหน่าย เนื่องจากประชาชนใน 2 ประเทศ ต่างให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในมาตรฐานและคุณภาพของสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย ซึ่งโอกาสของสินค้าไทยที่ได้รับการต่อยอดผ่านนวัตกรรมเหล่านี้ จะช่วยขยายตลาดในต่างประเทศผ่านสาขาของเซ่เว่น อีเลฟเว่นได้เป็นอย่างดี

สำหรับ รางวัลสุดยอดนวัตกรรม 7 Innovation Awards ประจำปี 2022 มีผู้ประกอบการส่งผลงานเข้าประกวดรวม 180 ผลงาน และมีผลงานที่ผ่านการตัดสินให้ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 38 ผลงาน แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ รางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ครอบคลุมด้านผลิตภัณฑ์ ด้านบริการ หรือด้านกระบวนการ จำนวน 18 ผลงาน และ รางวัลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการศึกษา รวมถึงโครงการเพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) จำนวน 20 ผลงาน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทเศรษฐกิจ ได้แก่ ผลงาน “EDEN นวัตกรรมสารเคลือบยืดอายุผักและผลไม้จากธรรมชาติ” โดย บริษัท อีเด็น อะกริเท็ค จำกัด และ ผู้ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทสังคม ได้แก่ ผลงาน “ธาอีส ผลิตภัณฑ์จากระบบรีไซเคิลเศษหนังวัวเหลือทิ้งแบบกึ่งอัตโนมัติ” โดย บริษัท ธาอีส อีโคเลทเธอร์ จำกัด

โดย นวัตกรรม อีเด็น หรือ สารเคลือบยืดอายุผักและผลไม้จากธรรมชาตินี้ จะช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้สดจากอายุเดิม ได้นานถึง 3 – 7 วัน เพียงพ่นหรือจุ่มสารเคลือบ ซึ่งประกอบด้วยแคลเซียม เซลลูโลส และสารสกัดจากผลไม้ ที่จะฟอร์มตัวเป็นชั้นฟิล์มระดับนาโนเพื่อปกป้องผิวผักและผลไม้ ช่วยชะลอการสูญเสียน้ำและการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้ได้ทั้งบนเปลือกและเนื้อผักผลไม้ตัดแต่ง ให้คงความสดไว้ได้โดยไม่กระทบต่อรสสัมผัส ทั้งยังคงคุณค่าสารอาหารและได้รับมาตรฐานอาหารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งจะก่อประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะแวดวงสินค้าเกษตร อาทิ ผู้ประกอบการส่งออกผัก ผลไม้ของไทย เนื่องจากสามารถช่วยยืดอายุสินค้า และลดการสูญเสียระหว่างขนส่ง, ทดแทนการใช้สารเคมี และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้อย่างปลอดภัย

ขณะที่ “ธาอีส ผลิตภัณฑ์จากระบบรีไซเคิลเศษหนังวัวเหลือทิ้งแบบกึ่งอัตโนมัติ” ผู้สร้างผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษหนังวัวเหลือทิ้ง ภายใต้แนวคิด Circular economy ด้วยการออกแบบและพัฒนาระบบรีไซเคิลแบบกึ่งอัตโนมัติ ซึ่งเป็นกระบวนการ Green Technology ที่ใช้พลังงานน้อยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดวัสดุหนังผืนใหม่ที่มีสีสันและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับนำมาใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง และวัสดุสำหรับงานออกแบบตกแต่งภายใน โดยประโยชน์ที่ได้รับก็คือ ลดการทิ้งเศษหนังมากกว่า 60 ตัน, ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการฝังกลบ 187 กิโลตัน, มีการจ้างงานฝีมือขึ้นรูปผลิตภัณฑ์และเพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนมากกว่า 70 ครัวเรือน
ทั้งนี้ ผู้ชนะการประกวดจะได้รับโอกาสต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจ ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายอันหลากหลาย ได้แก่ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ และผ่านช่องทาง ออลล์ ออนไลน์ ในแอปพลิเคชั่น 7- Eleven และ ทเวนตี้โฟร์ ช้อปปิ้ง รวมถึงบริษัทในเครือข่ายของความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการ SMEs และสตาร์ทอัพในประเทศ

สอดคล้องกับ กลยุทธ์ 3 ให้ ได้แก่ 1. ให้ช่องทางขาย 2. ให้ความรู้ และ 3. ให้การเชื่อมโยงเครือข่าย ตามแนวทางของเซเว่น อีเลฟเว่นที่มุ่งมั่นให้การสนับสนุนและส่งเสริม SMEs มาอย่างต่อเนื่อง
ถึงบรรทัดนี้ สิ่งที่ บมจ.ซีพี ออลล์ และหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 10 แห่ง ทำมาต่อเนื่องตลอด 9 ครั้งที่ผ่านมา มันมีคุณค่ามากยิ่งกว่า…ที่จะเป็นผลประโยชน์ของใครหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง หากเป็นคุณูปการต่อทุกภาคส่วนของสังคมไทย “วิน-วิน-วิน” กันทุกฝ่าย ตั้งแต่ระดับตัวบุคคล กลุ่มคนหรือชุมชน ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ระบบเศรษฐกิจ
รวมถึง ภาพที่สร้างเชื่อมั่นให้กับผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการรังสรรค์แห่งนวัตกรรมของประเทศไทย กลายเป็นการยอมรับในระดับนานาชาติ ที่ว่า…สินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย (Made in Thailand) ส่วนใหญ่จะมีคุณภาพและได้มาตรฐานที่สูง มีราคาที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ “เงินในกระเป๋า” ของผู้ซื้อในกลุ่มประเทศอาเซียน และถูกมากๆ ในสายตาของผู้ซื้อจากทั่วโลก

แม้แต่ บริษัทที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์แห่งนวัตกรรม และมียอดขายในระดับหลายร้อยจนถึงพันล้านบาทต่อปี ยังนำผลิตภัณฑ์ของตนเข้าร่วมประกวดในโครงการนี้ เพื่อเป้าหมายเดียว นั่นคือ การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของรางวัล “7 Innovation Awards” ที่เปรียบเสมือนเป็น “ตราสัญลักษณ์แห่งคุณภาพ” ในการยกระดับและต่อยอดผลิตภัณฑ์นั้นๆ ให้ได้รับการยอมรับในระดับชาติและระดับนานาชาติได้มากพอๆ กับโอกาสในการสร้างยอดขายผ่านเครือข่ายทางการตลาดของ บมจ.ซีพี ออลล์ และเครือเจริญโภคภัณฑ์ นั่นเอง
สำหรับ 10 องค์กรพันธมิตรสำคัญระดับประเทศข้างต้น ประกอบด้วย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.), สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.), สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.), สมาคมหน่วยบ่มเพาะธุรกิจและอุทยานวิทยาศาสตร์ไทย (Thai-BISPA), หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สมาคมธนาคารไทย และ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)
ผู้สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ http://www.7innovationawards.com และสามารถรับชมบรรยากาศงานย้อนหลังได้ทางเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/7innovationawards.



