ลุ้น! หลังศึกซักฟอก เดินหน้าเซ็นสัญญาบริหารโครงการท่อส่งน้ำ EEC 2.5 หมื่นล.

ปมการเมืองที่กำลังร้อนแรงกับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รมต.รายบุคคล ห้วง 19 – 22 ก.ค.นี้ อาจเป็นมูลเหตุสำคัญให้กระทรวงการคลัง ต้องเดินตาม “ใบสั่ง” ยื้อเซ็นสัญญาบริหารโครงการท่อส่งน้ำ EEC มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาทออกไป รอจนกว่าสถานการณ์การเมืองจะเข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อนั้น กรมธนารักษ์และกลุ่มวงศ์สยามก่อสร้าง คงได้ออกโรงขับเคลื่อนเรื่องนี้

คาราคาซัง…อย่างที่สุด! สำหรับการเดินหน้า โครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (โครงการท่อส่งน้ำ EEC) มูลค่าราว 2.5 หมื่นล้านบาท

จนถึงวันนี้…ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเป็นจะหน่วยงานที่ราชการ อย่าง กรมธนารักษ์ หรือฟากภาคเอกชนอย่าง บริษัท วงศ์สยามก่อสร้าง จำกัด ผู้ชนะการประมูลโครงการฯ ต่างก็จดจ่ออยู่กับความเห็นของ คนในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า…ที่สุดแล้วจะเอาอย่างไรกับเรื่องที่ยังค้างคา? จะเปิดให้มีการลงนามเซ็นสัญญาร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนได้เมื่อใด?

หลังจากเคยมีคำสั่งด่วน! จากทำเนียบรัฐบาล ให้เลื่อนการลงนามเซ็นสัญญาตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2565 ที่ผ่านมา

นับถึงตอนนี้…ผ่านมา 2 เดือนเศษ ยังหาความคืบหน้าไม่ได้ ขณะที่ภาคเอกชนที่ได้รับความเสียหาย ก็ “ตั้งป้อม” จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่ “ดึง” เรื่องนี้ให้ล่าช้าและทอดยาวออกไปโดยไม่มีกำหนด

ย้อนหลังกลับไปเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค.2565 เป็น นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ที่ออกมาเตือนว่า…บริษัทฯ เตรียมยื่นฟ้องดำเนินคดีต่อหน่วยงานของรัฐ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง หากไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้

ไม่กี่วันต่อมา ราวต้นเดือน มิ.ย. นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ ออกมายอมรับว่า…บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ในฐานะ “ผู้ชนะการประมูลโครงการฯ” ได้ทำหนังสือถึงกรมธนารักษ์ เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมาย หากยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะบริษัทได้รับความเสียหายทางธุรกิจ

ส่วนตัว! ด้วยความเป็น “มือกฎหมายภาษีระหว่างประเทศ” ดีกรีหนุ่มนักเรียนนอก (Harward Law School) ที่เรียน 2 อย่างควบคู่กันไป ทั้ง International Tax Program Certificate และ Master of Law จากสหรัฐอเมริกา อีกทั้งในอดีตยังเคยเป็น…ผู้พิพากษาในศาลภาษีอากรและศาลอื่นๆ ยาวนานเกือบ 14 ปี แถมพกด้วยการเป็น “อาจารย์สอนด้านกฎหมายภาษี” ระดับปริญญาโทของหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำของเมืองไทย จนถึงปัจจุบัน

ทำให้ นายประภาศ เชื่อมั่นว่า…ข้อมูลเชิงลึกที่ตัวเขาได้ตรวจสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว และสิ่งที่กรมธนารักษ์ทำมาตลอดกับโครงการท่อส่งน้ำ EEC นั้น

ชอบด้วยกฎหมาย!!!

และหากไม่ติดขัดที่ฝ่ายการเมืองแล้วล่ะก็ เขาพร้อมจะเดินหน้าต่อในการจรดปากกาลงนามเซ็นสัญญาดำเนินโครงการฯร่วมกันระหว่าง กรมธนารักษ์และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ในทันที!

แม้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ชุดที่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง แต่งตั้งขึ้นมาและมอบหมายให้ นายวิจักษณ์ อภิรักษ์นันท์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน จะได้รายงานผลการตรวจสอบให้กระทรวงการคลังรับทราบภายในกำหนดเวลาช่วงปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และผลสอบยืนยันออกมาแล้วว่า…

ไม่พบสิ่งปกติหรือความฉ้อฉลใดๆ ในการจัดการประมูลโครงการฯ และการได้มาซึ่งผู้ชนะการประมูลโครงการฯ อย่าง…บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ก็ชอบด้วยกฎหมาย

ทว่า…เพราะกระแสการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรยังคงคุกรุ่นอยู่กับการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล และเป็น นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ซึ่งเป็น 1 ในกลุ่มรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายไม่ไว้วางในครั้งนี้ (19 – 22 ก.ค.2565) ทำให้เจ้ากระทรวงฯ อย่าง…นายอาคม จำเป็นจะต้องยื้อเรื่องและมีคำสั่งให้คณะกรรมการฯชุดดังกล่าว ทำการสอบสวนเพิ่มเติมในบางประเด็นที่อาจเป็นปัญหา…ให้ถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น!!!

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ รมว.คลัง จำเป็นต้องดึงเรื่องการเซ็นสัญญาบริหารจัดการโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี ระหว่างกรมธนารักษ์และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ออกไปก่อน…รอให้ผ่านพ้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางไปแล้ว ค่อยมาว่ากันใหม่อีกที

“คณะกรรมการตรวจสอบฯได้ส่งรายงานขึ้นมา กระทรวงการคลังเห็นว่าในรายงานฉบับดังกล่าว ยังมีข้อมูลไม่ครบถ้วน จึงสั่งการให้คณะกรรมการตรวจสอบฯ กลับไปเพิ่มเติมในเรื่องรายละเอียดขั้นตอนกระบวนการการคัดเลือก ที่ยังเป็นของสงสัยและปรากฏออกมาในสาธารณะ รวมถึงการตรวจสอบ รวมถึงตรวจสอบปริมาณน้ำที่ส่งให้แก่ผู้ใช้น้ำ เปรียบเทียบกับลักษณะทางกายภาพของท่อส่งน้ำว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และในเรื่องของการใช้ปริมาณน้ำมาเป็นพื้นฐานในการออก TOR ซึ่งจะมีความแตกต่างของ TOR ในการเปิดประมูลครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 โดยได้กำหนดระยะเวลาการตรวจสอบเพิ่มเติมอีก 30 วัน” เสียงจากปากของ นายอาคม

และแม้ รมว.คลัง จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อเดือน มิ.ย.2565 ทำนองว่า…ต้องการจะรอให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปก่อนหรือไม่? โดยยืนยันว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกระบวนการ เพื่อให้ฝ่ายตรวจสอบดำเนินการต่อไป  ไม่ได้รอให้ผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่อย่างใด

กระนั้น ลึกๆ “คนวงในการเมือง” ต่างรู้กันดีว่า ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะ หัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล และ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและรมว.พลังงาน กำกับดูแลกระทรวงการคลัง ต่างรู้สึกเป็นกังวลใจกับศึกอภิปรายไม่ไว้วางในครั้งนี้ โดยเฉพาะปมของ นายสันติ รมช.คลัง กำกับดูแล ทั้งกรมธนารักษ์ และกรมศุลกากร ที่เพิ่งถูกฝ่ายค้านออกมาแฉเรื่องการเบิกจ่ายงบบำรุงรักษากล้อง CCTV ติดตั้งอยู่ในพื้นที่ด่านศุลกากรทั่วประเทศ (รายละเอียดหาอ่านได้จากข่าวทั่วไป)

เรื่องนี้…อาจกระทบไปถึงตัว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้

นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญทำให้การไฟเขียวการเดินหน้าเซ็นสัญญาโครงการท่อส่งน้ำอีอีซีเกิดความล่าช้า???

หมายความว่า…หากผ่านพ้นศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ที่จะแล้วเสร็จในช่วงปลายสัปดาห์หน้า นั้น หรือนับแต่วันที่ 25 ก.ค.2565 เป็นต้นไป โอกาสที่สังคมไทยจะได้เห็นการจรดปากกาเซ็นสัญญาเดินหน้าโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก หรือโครงการท่อส่งน้ำ EEC มูลค่าราว 2.5 หมื่นล้านบาท ระหว่างกรมธนารักษ์และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ซึ่งคาราคาซังมาตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ก็คงเข้าใกล้ความเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

ถึงบรรทัดนี้ ทีมข่าวยุทธศาสตร์ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดยึดโยงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ อะไรที่ถูกต้องและชอบธรรมก็ควรต้องเดินหน้ากันต่อไป…เพื่อโอกาสที่สร้างสรรค์ของประเทศไทยในภาพรวม!!!.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password