กสิกรชี้! ไทยเสี่ยงอุปทานข้าวในประเทศตึงตัวจากปมปุ๋ยแพง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้! วิกฤตรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบต่อราคาปุ๋ยในตลาดโลก ระบุ 2565 ไทยเสี่ยงเผชิญอุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัว ส่งให้ผลผลิตข้าวลดลงจากราคาปุ๋ยเคมีพุ่งสูง

ปี 2565ไทยอาจมีความเสี่ยงต้องเผชิญอุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัวมากขึ้น จากจุดเปลี่ยนสำคัญคือราคาปุ๋ยที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงขณะที่ในฝั่งของอุปสงค์คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นตามการส่งออกข้าวที่ดีขึ้น จะยิ่งกดดันอุปทานข้าวที่เหลือในประเทศให้ลดลงซึ่งภาพอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้นนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้นมองต่อไปข้างหน้า คาดว่า ในปี 2566ภาพของความเสี่ยงที่ไทยจะมีอุปทานข้าวตึงตัวน่าจะยังคงอยู่ โดยเฉลี่ยที่ราว 21 ล้านตันข้าวสารต่อปีซึ่งเป็นปริมาณที่เหลือเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศหลังจากที่หักส่งออกแล้ว ซึ่งหากรวมสต๊อกด้วยแล้ว ไทยจะมีอุปทานข้าวเหลือในประเทศราว 6 ล้านตันข้าวสาร และแม้ในบางปีที่เกิดภาวะภัยแล้ง (ปี 2558-2559) จนทำให้ผลผลิตข้าวลดลงอยู่ที่ราว 19 ล้านตันข้าวสาร แต่ไทยก็ยังมีอุปทานข้าวเหลือในประเทศในระดับที่ไม่น่ากังวลนัก

ทว่าในปัจจุบัน สถานการณ์โลกได้เปลี่ยนไปอย่างมากโดยเฉพาะจุดเปลี่ยนสำคัญคือสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่สร้างผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสำคัญอย่างปุ๋ยเคมี (คิดเป็นต้นทุนการผลิตข้าวราวร้อยละ 20 ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) ให้มีราคาพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ปุ๋ยและทำให้ผลผลิตข้าวลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงนำมาสู่คำถามว่าในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ที่ทำให้ผลผลิตข้าวลดลง  

ไทยจะมีความเสี่ยงต่ออุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัวขึ้นหรือไม่ในปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงขอสรุปมุมมองที่มีต่อประเด็นดังกล่าว ดังนี้ โดยมองว่า ในปี 2565 ด้วยเหตุการณ์ไม่ปกติที่มีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดันราคาปุ๋ยเคมีพุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนไปอยู่ที่ราว 950-1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ส่งผลกดดันผลผลิตข้าวไทยให้ลดลงโดยเฉพาะข้าวนาปีที่ได้รับผลกระทบจากราคาปุ๋ยแพง ทำให้ผลผลิตลดลงราว 1.2-1.8 ล้านตันข้าวสารเมื่อเทียบกับปีก่อน หรือลดลงราวร้อยละ 10 ของผลผลิตข้าวนาปี แม้ข้าวนาปรังจะไม่ได้รับผลกระทบจากปุ๋ยแพงเพราะเป็นช่วงที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิต ทำให้มีผลผลิตข้าวรวมสต๊อกอยู่ที่ราว 24.3 ล้านตันข้าวสาร และเมื่อผนวกกับอุปสงค์จากต่างประเทศที่มีรองรับสะท้อนผ่านการส่งออกข้าวไทยที่แม้จะกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยไปอยู่ที่เป้าหมายราว 7 ล้านตันข้าวสาร และการบริโภคข้าวในประเทศที่ราว 13 ล้านตันข้าวสาร จะทำให้ไทยเหลืออุปทานข้าวในประเทศที่ราว 4.3 ล้านตันข้าวสาร นับเป็นระดับที่ตึงตัวขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ราว 6 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งภาพของอุปทานข้าวที่เหลือในประเทศที่ตึงตัวดังกล่าวนี้น่าจะไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น

สมมติฐาน         : การใช้ปุ๋ยเคมีที่ลดลง 10% จะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง 1.2ล้านตันข้าวสาร

: การใช้ปุ๋ยเคมีที่ลดลง 10% จะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง 1.2 ล้านตันข้าวสาร

: ราคาปุ๋ยเคมีที่คาดว่าจะสูงขึ้นราว 200% ในปี 2565 จะทำให้มีการใช้ปุ๋ยลดลงราว 10-15%

และทำให้ผลผลิตข้าวนาปีลดลงราว 1.2-1.8 ล้านตันข้าวสาร (YoY) หรือคิดเป็นผลผลิตข้าวที่ลดลงราว 10% (ข้าวนาปีได้รับผลกระทบจากปุ๋ยแพงในช่วงการเพาะปลูก Q2 และอาจทำให้ผลผลิตลดลใน Q4) ขณะที่ข้าวนาปรังอาจไม่ได้รับผลกระทบจากปุ๋ยแพงทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย

: ผลผลิตข้าวไทยในปี 2565 อยู่ที่ 20.2 ล้านตันข้าวสาร ขณะที่ช่วงก่อนหน้า (ปี 62-

64) อยู่ที่20.7 ล้านตันข้าวสาร และช่วงภัยแล้ง (ปี 58-59) อยู่ที่ 19.1 ล้านตันข้าวสาร

: อุปทานข้าวเหลือในประเทศ = อุปทาน (ผลผลิต+สต๊อก) – อุปสงค์ (ส่งออก+บริโภค)

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงรายละเอียดในฝั่งของอุปสงค์ที่จะกระเตื้องขึ้นในปีนี้ ซึ่งอาจมีน้ำหนักไปซ้ำเติมอุปทานที่ลดลงจากราคาปุ๋ยแพง (ราคาปุ๋ยที่พุ่งขึ้นในปี 2565 ทำให้เกษตรกรน่าจะไม่สามารถปรับตัวได้ในระยะสั้นกระทบต่อการผลิตพืชตามฤดูกาลสำคัญอย่างข้าวนาปีให้อาจมีผลผลิตลดลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาด) และจะเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงทำให้อุปทานข้าวเหลือในประเทศตึงตัวมากยิ่งขึ้น โดยพบว่า อุปสงค์ต่างประเทศที่สะท้อนผ่านการส่งออกข้าวไทยน่าจะให้ภาพที่กระเตื้องขึ้นกว่าปีก่อน คาดไปอยู่ที่เป้าหมายราว 7 ล้านตันข้าวสาร (กรมการค้าต่างประเทศและสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปี 2565 (ณ เม.ย.2565) ทั้งนี้ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565 ไทยส่งออกข้าวอยู่ที่ราว 2.3 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 49.7 (YoY)) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 (YoY) เนื่องจากมี Pent Up Demand ในตลาดโลกรองรับปัญหาตู้คอนเทนเนอร์คลี่คลายมากขึ้นและเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จะช่วยหนุนการส่งออกข้าวไทย แต่น่าจะยังคงอยู่บนฐานที่ต่ำจากการแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรง

โดยเฉพาะจากเวียดนามและอินเดียที่คาดว่ายังไม่มีแนวโน้มของนโยบายที่จะจำกัดการส่งออกข้าวในปีนี้ (ขณะนี้หลายประเทศในโลกได้มีนโยบายจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรไปแล้วหลายรายการ เช่น ข้าวสาลี น้ำตาลน้ำมันถั่วเหลือง เนื้อไก่ เพื่อความมั่นคงด้านอาหารในประเทศ) เนื่องจากต่างก็มีผลผลิตข้าวที่อยู่ในระดับสูงเช่นกันจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยแต่ด้วยข้าวไทยมีราคาและต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่งทำให้ไทยจะยังมีความท้าทายในการแข่งขันด้านราคาอยู่มาก (ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง โดยราคาส่งออกข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ที่ 427 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันขณะที่เวียดนามอยู่ที่ 420 และอินเดียอยู่ที่ 340 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน, ข้อมูลจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ณ 29มิ.ย.2565)

ท้ายที่สุดอุปทานข้าวที่เหลือในประเทศหลังหักการส่งออกและบริโภคในประเทศอาจตึงตัวมากขึ้น ซึ่งแม้จะส่งผลดีในแง่ของการส่งออกข้าวที่ทำได้ดีขึ้นแต่ในอีกมุมหนึ่งอาจกระทบต่ออุปทานข้าวไทยได้ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ ดังนั้น ในปี 2565 ท่ามกลางภาวะที่ผลผลิตข้าวลดลงแม้จะมีการส่งออกข้าวที่กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเป็นปัจจัยซ้ำเติมความเสี่ยงที่ไทยอาจต้องเผชิญภาวะอุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้คงไม่ใช่เป็นการเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

มองต่อไปในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2566 ภาพของความเสี่ยงอุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัวน่าจะยังคงอยู่ตามสถานการณ์โลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่อาจลากยาวและยังคาดการณ์ระยะเวลาสิ้นสุดได้ยากจะส่งผลกระทบต่อราคาปุ๋ยเคมีที่น่าจะยืนสูงต่อเนื่องและกดดันผลผลิตข้าวทั้งนาปรังและนาปี ภาวะ Climate Change ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น

รวมไปถึงราคาข้าวที่แม้จะปรับตัวสูงขึ้นแต่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่บนฐานที่ต่ำอาจไม่จูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิตมากนักล้วนกดดันต่อผลผลิตข้าวให้มีแนวโน้มลดลงอยู่ในกรอบ 18-19.5 ล้านตันข้าวสาร และน่าจะยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับการผลิตในปริมาณสูงเช่นเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น ผนวกกับสต๊อกข้าวที่มีแนวโน้มลดลง

ขณะที่ ในฝั่งของอุปสงค์แม้จะให้ภาพไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คือไทยยังต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกที่รุนแรงทำให้ไทยน่าจะยังคงส่งออกข้าวได้บนฐานที่ต่ำราว 7.5 ล้านตันข้าวสาร แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะกดดันให้เหลืออุปทานข้าวในประเทศตึงตัวขึ้นอยู่ที่ราว 0.9-2.4 ล้านตันข้าวสาร อีกทั้งจากต้นทุนที่สูงต่อเนื่องจะดันให้ราคาข้าวในประเทศขยับขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน

นอกจากนี้ หากไทยสามารถส่งออกข้าวได้มากกว่ากรอบที่ประเมินไว้จากปัจจัยหนุนเช่น คู่แข่งเกิดภาวะ Supply Shock (น้ำท่วม ภัยแล้งนโยบายจำกัดการส่งออก) ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ที่ให้ภาพดีขึ้นกว่าที่คาดไว้ราคาข้าวไทยที่แข่งขันได้มากขึ้น เป็นต้นก็อาจยิ่งทำให้ไทยมีความเสี่ยงที่จะมีอุปทานข้าวในประเทศที่ตึงตัวมากขึ้นได้อีกในระยะข้างหน้า

ที่มา : ประเมินโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และ USDA.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password