SCG โกยรายได้ ทะลุ1.4แสนล้าน ดันตั้งบริษัทย่อยรุกโลจิสติกส์ครบวงจร

เอสซีจี เผยไตรมาส 3 ทำรายได้ 1.42 แสนล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน รับราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัว ความต้องการตลาดลด ชี้เป็นวัฏจักรขาลงของธุรกิจ ด้านรายได้ 9 เดือนยังสดใส โต 15% พร้อมพลิกธุรกิจ รุกสู่ 3 เทรนด์์โลก

วันที่ 28 ต.ค. 2565 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2565 มีรายได้จากการขาย 142,391 ล้านบาท ลดลง 7% จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงตามความต้องการของตลาดที่ลดลง สืบเนื่องจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจเคมิคอลส์ และ มีกำไรสำหรับงวด 2,444 ล้านบาท ลดลง 75% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับลดลง ต้นทุนพลังงานที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับในไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลรับ

ขณะที่เมื่อเทียบกับปีที่แล้วเอสซีจีมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 8% เป็นผลจากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและธุรกิจแพจเกจจิ้งมีราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาตลาด แต่กำไรสำหรับงวดลดลง 64% เนื่องจากส่วนต่างราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลง รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ด้านผลประกอบการเอสซีจีช่วง 9 เดือนของปี 2565 มีรายได้จากการขาย 447,419 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นตาม ราคาตลาด โดยมีกำไรสำหรับงวด 21,225 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในช่วง 9 เดือนของปี 2565 ทั้งสิ้น 203,134 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของยอดขายรวม เท่ากันกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเอสซีจีมีการปรับกลยุทธ์นวัตกรรมสินค้าและบริการ HVA (High Value Added Products & Services) โดยได้ยกระดับเกณฑ์การพิจารณาให้เข้มข้นขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก เน้นการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น ภายใต้เกณฑ์ใหม่

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ไตรมาส 3 ปี 2565 ได้รับผลกระทบอย่างสูงจากวิกฤตต้นทุนพลังงานรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี สืบเนื่องจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนพลังงานเอสซีจีเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งวัฏจักรปิโตรเคมีอยู่ในช่วงขาลงต่ำสุดในรอบ 20 ปี นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวจากการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นทั่วโลก ประกอบกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ของจีน ยังทำให้เศรษฐกิจจีน
ชะลอตัว

“เอสซีจีมีความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตครั้งนี้ โดยยังคงรักษาเสถียรภาพทางการเงินอย่างแข็งแกร่ง ลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ทบทวนการลงทุนและชะลอโครงการใหม่ที่ไม่เร่งด่วน มุ่งโครงการที่ผลตอบแทนเร็ว สอดคล้องกลยุทธ์การเติบโตของธุรกิจ อาทิ โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม ซึ่งมีความคืบหน้าตามแผน 97% นอกจากนั้น ในไตรมาส 3 ปี 2565 ได้ออกหุ้นกู้ทั้งกลุ่มรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้มากยิ่งขึ้น”นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า

อย่างไรก็ตามเอสซีจีได้เร่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างทันท่วงที ด้วยการเข้าสู่ 3 ธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพสูงและตอบโจทย์เมกะเทรนด์ของโลก ได้แก่ 1.ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดยใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ทดแทนพลังงานฟอสซิล โดยไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ธุรกิจซีเมนต์ในประเทศไทยมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นถึง 40% จากเชื้อเพลิงทั้งหมดในการผลิต ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนของปี 2565 เอสซีจีมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 34% จาก 18% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

2.ธุรกิจโลจิสติกส์ครบวงจรรายใหญ่ในอาเซียน (ASEAN Logistics) ควบรวมธุรกิจโลจิสติกส์กับ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรรายใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน ด้วยบริการที่หลากหลายทั้งบริการคลังสินค้า ระบบห้องเย็น บริการขนส่งสินค้าทั้งทางบก เรือ อากาศ ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ และ 3. ธุรกิจ Smart Living ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวก คุ้มค่า ปลอดภัย รักษ์โลก.

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password