ดัชนีความเชื่อมั่น SME เดือนเมษายน 2565 เพิ่มขึ้น

สสว. เผยดัชนีความเชื่อมั่น SME เดือนเมษายน 2565 เพิ่มขึ้นทั้งค่าดัชนีปัจจุบันและคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า เหตุกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว เตือน SME ต้องเฝ้าระวัง ต้นทุนราคาสินค้า วัตถุดิบ และพลังงานเชื้อเพลิงที่ปรับราคาสูงขึ้นต่อเนื่อง

นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) ประจำเดือนเมษายน 2565 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ว่าค่าดัชนี SMESI ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 50.5 จากระดับ 49.1 ปัจจัยสำคัญมาจากการเดินทางและการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่มีวันหยุดยาว ส่งผลให้องค์ประกอบในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านกำไรและคำสั่งซื้อ ที่ค่าดัชนีปัจจุบันมีอัตราการเพิ่มขึ้นสูงสุดอยู่ที่ 54.3 และ 56.5 จากระดับ 51.6 และ 55.4 สะท้อนได้ว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่น
ในการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่สูงกว่าค่าฐานอยู่ที่ระดับ 52.1 จากระดับ 51.3 ผลจากสถานการณ์ที่ดีขึ้นของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีแนวโน้มของการปรับลดมาตรการการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยยกเลิกการตรวจ RT-PCR และลดระยะเวลาการกักตัว ฯลฯ ซึ่งจะสนับสนุนการขยายตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย

เมื่อพิจารณารายภาคธุรกิจ พบว่า แทบทุกภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งภาคการผลิต 
ภาคการค้าและภาคการบริการ มีเพียงภาคการเกษตรปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจปศุสัตว์ เนื่องจากค่าอาหารสัตว์และค่าพลังงานซึ่งเป็นภาระต้นทุนสำคัญที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูงต่อเนื่อง

สำหรับดัชนี SMESI รายภูมิภาค เดือนเมษายน 2565 พบว่า เกือบทุกภูมิภาคค่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นและอยู่ในระดับความเชื่อมั่นเกินกว่าค่าฐานที่ 50 โดยภูมิภาคที่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นสูงสุดจากเดือนก่อน ได้แก่ ภาคใต้ รองลงมา คือ ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยค่าดัชนีอยู่ที่ 49.0 51.7 52.7 50.5 จากระดับ 43.3 49.3 51.3 และ 49.4 ตามลำดับ

ปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ดัชนี SMESI ในส่วนภูมิภาคโดยรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ด้านผู้บริโภคและกำลังซื้อ จากการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว ส่งผลต่อความต้องการท่ี่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ด้านการดูแลสุขภาพและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงปัจจัยบวกของแต่ละภูมิภาค พบว่าส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนมาจากการเดินทางและการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะภาคใต้ ได้รับปัจจัยบวกในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศเดินทางเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเทศกาลถือศีลอด ทำให้ชาวมุสลิมในพื้นที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยกักตุนอาหารมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจในพื้นที่ ขณะที่ภาคเหนือ ธุรกิจในพื้นที่ขยายตัวจากกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ
 
สะท้อนจากยอดจองโรงแรมห้องพักปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจอื่น ๆ เช่น ร้านโมเดิร์นเทรด และร้านโชห่วย ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับผลดีจากแรงงานเดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงวันหยุดยาว

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ SME ยังคงต้องเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งราคาสินค้า/วัตถุดิบ ค่าสาธารณูปโภค และพลังงานเชื้อเพลิง ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้กระทบกับราคาสินค้าที่จะส่งถึงผู้บริโภคเพราะความต้องการยังปรับตัวไม่มากนัก เช่นเดียวกับด้านคู่แข่งขัน โดยเฉพาะในช่องทางออนไลน์ และการทำการตลาด เช่น การจัดโปรโมชั่น โปรโมทร้านผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นเวลานาน

นอกจากนี้สิ่งที่ยังต้องจับตามองด้านการท่องเที่ยวว่าเป็นเพียงการปรับตัวช่วงสั้น ๆ หรือไม่ เพราะการท่องเที่ยวถือเป็นแรงกระตุ้นหลักสำคัญของเศรษฐกิจในปีนี้

Login

Welcome! Login in to your account

Remember me Lost your password?

Lost Password